ทราบหรือไม่ว่า มีคนไทยเพียง 5% ที่เข้าใจการทานอาหารเสริมและวิตามินอย่างถูกต้อง โดยส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า อาหารเสริมทานแล้วจะผอมหรือขาวขึ้น นั่นก็เพราะข้อมูลส่วนใหญ่มาจาก Social Media และผู้ค้าที่อวดอ้างสรรพคุณต่างๆ นานา ซึ่งอาจไม่ใช่ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องซะทีเดียว จริงๆ แล้วการทานอาหารเสริมต้องทานในปริมาณที่เหมาะสม และแต่ละคนก็มีปริมาณที่ควรได้รับแตกต่างกันไป
ทว่า สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นคือ ผู้บริโภคหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น ทั้งการออกกำลังกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์ ส่งผลให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่มากมาย อาทิ บริการอาหารคลีน ที่มีนักโภชนาการเข้ามาเป็นที่ปรึกษา หรือแพคเกจฟิตเนสตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ล่าสุด แบรนด์ “ไวตาบูสท์” ได้มองเห็นช่องว่างในการทำตลาด เปิดตัวธุรกิจบริการดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคลแบบ Home Service รูปแบบใหม่ในประเทศไทย ตอบโจทย์คนที่อยากดูแลสุขภาพและต้องการทางเลือกที่ง่าย ได้ผลและปลอดภัย โดยที่ผู้บริโภคไม่ต้องเลือกยี่ห้อ/ชนิดวิตามินที่มีมากมายในท้องตลาดเอง เพราะมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาช่วยเลือกและจัดปริมาณให้เหมาะสม และจัดส่งถึงบ้าน
คุณศรัณย์ ชัยปาณี ประธานบริหารฝ่ายปฏิบัติการ และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ไวตาบูสท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยข้อมูลวิจัยจากศูนย์ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ปี 2015 พบว่า ตลาดอาหารเสริมและวิตามินในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาท และในปี 2016 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 66,000 ล้านบาท คาดว่าในปี 2020 จะแตะ 75,000 ล้านบาท ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่อง นี่จึงเป็นเหตุผลให้คุณศรัณย์และเพื่อนเรียนคอร์สบริหารธุรกิจชื่อ Future Innovative Entrepreneur (FINE) ตัดสินใจหยิบโปรเจคจบชิ้นนี้ มาต่อยอดเป็นธุรกิจไวตาบูสท์ในปัจจุบัน
ความจริงแล้ววิตามินปรุงเฉพาะบุคคลไม่ใช่เรื่องใหม่ในประเทศไทย มีการให้บริการนี้ในโรงพยาบาลและคลินิกเอกชนมาเป็นเวลากว่า 10 ปี และได้ผลลัพธ์ดีมากต่อผู้ใช้บริการ แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องราคาที่สูงมาก ค่าวิตามินเดือนละหลัก 15,000 – 30,000 บาทต่อเดือน ทำให้ผู้ใช้บริการจำกัดอยู่ในระดับกลุ่ม A และ B+ และยังไม่ได้เป็นที่แพร่หลาย แต่ไวตาบูสท์ไม่ได้ต้องการที่จะไปแย่งลูกค้ากลุ่มนั้นจากโรงพยาบาล เป้าหมายของเราคือต้องการที่จะจับตลาดกลุ่มผู้ที่ซื้อวิตามินและอาหารเสริมรับประทานเองอยู่แล้วให้มีทางเลือกที่ปลอดภัยขึ้น ได้ทานวิตามินที่มีคุณภาพดีที่สุดในราคาที่จับต้องได้
พ.ญ.พลอยลดา ธนาไพศาลวรกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเวชศาสตร์ชะลอวัย สมาชิก American Board of Anti-Aging / Regenerative Medicine (ABAARM) กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ไวตาบูสท์ กล่าวว่า “ทุกวันนี้ผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย และไม่มีเวลาเลือกทานอาหารดีๆ จากข้อมูลของสำนักโรคไม่ติดต่อ กระทรวงสาธารณสุขก็พบว่ามีคนไทยเพียง 26% ทานอาหารครบ 5 หมู่และทานผักผลไม้เพียงพอ
ไวตาบูสท์มีทีมแพทย์ เภสัชกร พยาบาลและนักกำหนดอาหารที่เชี่ยวชาญในการใช้วิตามินช่วยดูแลสุขภาพ โดยให้บริการปรุงวิตามินสูตรเฉพาะบุคคล (Personalized vitamin) ซึ่งปรุงจากวัตถุดิบอาหารเสริมนำเข้าพรีเมี่ยมกว่า 100 ชนิด ซึ่งแต่ละคนจะได้รับชนิดและปริมาณวิตามินแตกต่างกันตามอายุ เพศ น้ำหนัก, เป้าหมายด้านสุขภาพ, ระดับวิตามิน แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระในเลือด, ไลฟ์สไตล์, ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น แอลกอฮอล์ บุหรี่ ความเครียด เพื่อให้เหมาะกับร่างกายคนๆ นั้นมากที่สุด”
เดินหน้าทำตลาดด้วย 4 กลยุทธ์หลัก ง่าย-ปลอดภัย-สะดวก-ประหยัด
1. ง่าย
บริษัทฯ ต้องการเปลี่ยนแนวคิดการทานวิตามินแบบเดิมๆ ที่ต้องซื้อทานเองและมีราคาแพง ให้เป็นเรื่องง่าย ปลอดภัย และได้ผล โดยที่ลูกค้าไม่ต้องเครียดว่าจะเลือกทานอะไร ปริมาณเท่าไหร่ นานเท่าไหร่ และไม่ต้องเสียเวลาในการจัดวิตามินและอาหารเสริมลงกล่องยาในแต่ละวัน
2. ปลอดภัย
ทางบริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยี AI ที่ชื่อว่า Vitalyzer มาช่วยแพทย์ในการคำนวณปริมาณ ชนิดของอาหารเสริมที่เหมาะสมของแต่ละคน และยังมีระบบช่วยจดจำและหยุดการทานต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมสารบางอย่างในร่างกาย
3. สะดวก
เพื่อให้ได้ผลการตรวจเลือดที่แม่นยำ บริษัทฯ มีบริการส่งพยาบาลวิชาชีพไปเก็บตัวอย่างเลือดถึงบ้านเพื่อประหยัดเวลาการเดินทาง เข้าคิวรอ และมีบริการส่งวิตามินรายเดือนไปถึงบ้านโดยขนส่งเอกชน ทั้งนี้ บริษัทฯ มีพาร์ทเนอร์ที่เข้ามาช่วยในการตรวจเลือด 3 ราย อาทิ โรงพยาบาลกรุงเทพ และแล็ปจากหน่วยงานเอกชน โดยมีค่าตรวจเลือดครั้งละ 8,500 บาท
4. ประหยัด
เมื่อเทียบกับการใช้บริการจากโรงพยาบาล หรือคลีนิคต่างๆ ไวตาบูสท์มีค่าใช้จ่ายถูกกว่า ค่าวิตามินเริ่มตั้งแต่ 1,100 – 7,100 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับโปรแกรมและแพคเกจที่เลือก ทั้งนี้ แพคเกจ ไวตาบูสท์มีด้วยกัน 3 แบบ ได้แก่
• Premium ราคา 1,100 – 1,800 บาท/เดือน ไม่รวมตรวจเลือด แต่จะใช้วิธีตอบแบบสอบถาม ซึ่งมีความแม่นยำไม่แพ้การตรวจเลือด
• Gold ราคา 2,400 – 3,100 บาท/เดือน รวมตรวจเลือด 1 ครั้ง
• Platinum ราคา 4,800 – 7,100 บาท/เดือน รวมตรวจเลือด 1 ครั้ง ปัจจุบันลูกค้ากว่า 50% เลือกใช้แพคเกจนี้
6 โปรแกรมหลักของไวตาบูสท์ที่พร้อมให้บริการในตอนนี้
• Anti-aging Total Solution – โปรแกรมชะลอวัยฟื้นฟูร่างกายจากภายในแบบองค์รวม
• Healthy Heart – โปรแกรมดูแลสุขภาพหัวใจและลดไขมันในหลอดเลือด
• Cancer Risks Reduction – โปรแกรมลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
• Beauty and Skin Enhancement – โปรแกรมเสริมความงามและบำรุงผิวพรรณจากภายใน
• Sustainable Weight Management – โปรแกรมลดน้ำหนักแบบยั่งยืน
• Men’s Total Care – โปรแกรมดูแลสุขภาพคุณผู้ชายจากภายในแบบองค์รวม
5 โปรแกรมเสริม (Add-on program)
• SleepWell – วิตามินและอาหารเสริมที่ช่วยให้นอนหลับง่ายและสบายขึ้น
• Smart Brain – วิตามินและอาหารเสริมที่ช่วยให้สมองสดใสขึ้น ความจำดีขึ้นสำหรับผู้ใช้สมองหนัก
• Stronger Bone – วิตามินและอาหารเสริมสำหรับเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและข้อ
• Liver Care – วิตามินและอาหารเสริมสำหรับบำรุงตับ
• Sport Enhancement – วิตามินและอาหารเสริมสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มสมรรถนะในการเล่นกีฬา
กลุ่มเป้าหมายของไวตาบูสท์
ด้วยความที่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ จึงไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร อายุเท่าไร ทางบริษัทฯ มองว่า ทุกคนที่ดูแลสุขภาพคือกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นคนทำงาน ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ นอกจากนี้ ยังขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าอีกด้วย
ทั้งนี้ รูปแบบธุรกิจของไวตาบูสท์ในไทย สามารถแบ่งออกได้ 2 กลุ่ม ได้แก่ ลูกค้ารายบุคคล และลูกค้าองค์กร โดยลูกค้ารายบุคคลจะเป็นระบบสมาชิกรายเดือน (1 เดือน, 3 เดือน, 6 เดือน และ 1 ปี) โดยมีค่าบริการ 1,100 – 7,100 บาทต่อเดือน และมีค่าตรวจเลือดจะอยู่ที่ 4,000 – 10,000 บาทต่อครั้ง ส่วนลูกค้าองค์กร จะเน้นที่โปรแกรมดูแลสุขภาพของผู้บริหารและพนักงานในองค์กรต่างๆ
แอปฯ Vitaboost บันทึกและแปลผลสุขภาพฟรี
ด้าน คุณสุวิชชา เนติวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ไวตาบูสท์ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า “ไวตาบูสท์ยังมีบริการแอปฯ Vitaboost ซึ่งทำหน้าที่สมุดพกสุขภาพเก็บข้อมูลสุขภาพต่างๆ ไว้ในมือถือ และสามารถสมัครขอรับบริการวิตามินปรุงเฉพาะบุคคลจากแอปฯ ได้ ด้วยการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ทั้งนี้ แอปฯ Vitaboost รองรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนระบบ iOS ส่วนระบบ Android คาดว่าจะเปิดใช้งานช่วงเดือนตุลาคมนี้
กลยุทธ์การตลาดและประชาสัมพันธ์
คุณศรัณย์ เผยว่า ปีนี้บริษัทฯ ตั้งงบการตลาดไว้ที่ 5 ล้านบาท ในช่วงแรกจึงเน้นให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทานอาหารเสริม ควบคู่ไปกับการทำคอนเทนต์ เน้นช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ทั้ง Social Media และเว็บไซต์ ในส่วนของออฟไลน์ จะเป็นการออกบูธตามสถานที่ต่างๆ อีเว้นท์ด้านความงาม สุขภาพและเทคโนโลยีที่เป็นพันธมิตรกับบริษัท อาทิ บริษัทประกันชีวิต ค่ายมือถือ ฟิตเนส บริษัทบัตรเครดิต และสำหรับลูกค้าชาวต่างชาติ และเริ่มทำ health and wellness tourism สร้างศูนย์ Wellness Center ที่เอกมัยและทำโปรโมชั่นร่วมกับบริษัททัวร์ต่างๆ เพื่อขยายฐานลูกค้า
สำหรับเป้าหมายในปี 2017 บริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ที่ 10 ล้านบาท และปี 2018 ตั้งเป้าที่ 25 ล้านบาท ส่วนผู้ใช้บริการ ตั้งเป้าสิ้นปีไว้ที่ 500 คน จากปัจจุบันที่มี 300 คน และส่วนแบ่งการตลาด 1% ของตลาดอาหารเสริมและวิตามินภายใน 5-7 ปี