สะดวกกันล่ะทริปนี้…แอ่วเชียงใหม่กับ UberX ค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 20 บาท

 

ต๊ะตอนยอนกันได้สะดวกขึ้น เมื่อ UberX เปิดให้บริการในเชียงใหม่อย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งได้พาร์ทเนอร์เป็นคนขับที่อยู่ในพื้นที่เมืองเชียงใหม่ โดยมีขอบเขตให้บริการอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ และวงแหวนรอบที่ 3 ทำไม

 

เชียงใหม่เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวปีละกว่า 7 ล้านคน ปีที่ผ่านมามีคนมากกว่า 100,000 คน เรียกร้องให้ Uber เปิดให้บริการในเชียงใหม่ โดยคิดสัดส่วนเป็นคนไทยจากต่างถิ่น 28% , ชาวต่างชาติ 61% และ คนเชียงใหม่ 11% การเข้ามาของ Uber เป็นเสมือนการเสนอทางเลือกให้แก่คนพื้นที่และนักท่องเที่ยวให้ได้รับความสะดวกในราคาที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้แก้ปัญหาให้ผู้บริโภค ด้วยแอพ Uber ที่รองรับ 55 ภาษา, กำหนดราคาเป็นมาตรฐาน, ตรวจสอบสถานที่และเส้นทางได้ผ่านระบบแผนที่ในแอพ, คำณวนค่าโดยสารได้ล่วงหน้า และเรียกใช้บริการได้ตลอดเวลา

พาร์ทเนอร์ที่เป็นผู้ร่วมขับก็คือคนในท้องถิ่นที่มีรถยนต์เป็นของตัวเองและต้องการหารายได้เสริม ซึ่งโดยมากกลุ่มคนที่มาขับ Uber จะขับเพื่อเพิ่มรายได้พิเศษให้แก่ตัวเอง จากสถิติของ Uber เผยว่าคนขับที่เป็นพาร์ทเนอร์ในสัดส่วน  67% ขับน้อยกว่า 25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนที่เหลืออีก 33%  ขับมากกว่า 25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ค่อนข้างชัดเจนว่าคนขับ Uber กลุ่มใหญ่เลือกมาเป็นพาร์ทเนอร์เพราะต้องการหารายได้พิเศษเพิ่มเติม

การชำระเงินสามารถจ่ายได้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต อัตราค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 20 บาท // คิดเพิ่มต่อกิโลเมตรละ 2 บาท // คิดเพิ่มต่อนาทีละ 2 บาท  สำหรับการคิดราคาเหมาจะมีให้เลือกดังนี้ จากสนามบินหรือไปส่งที่สนามบิน 150 บาท // จากดอยสุเทพหรือไปส่งที่ดอยสุเทพ 250 บาท

เรามีตัวอย่างประมาณการณ์ค่าโดยสารคร่าวๆให้ผู้อ่านได้พอเห็นภาพ คือ จากประตูท่าแพไปตลาดวัวลาย 50 บาท // จากประตูท่าแพไปถนนนิมมานฯ 55 บาท // จากประตูท่าแพไปเซนทรัลเฟสติวัล หรือสถานีรถไฟเชียงใหม่ 70 บาท

เรามองว่าโมเดลนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในพื้นที่ แต่เป็นการให้บริการที่เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้คน ผู้บริโภคจะเป็นคนตัดสินใจและเลือกใช้งานตามโอกาสและความต้องการของพวกเขาใน ณ ขณะนั้น ความหลากหลายของรูปแบบการให้บริการเช่นนี้ทำให้อุตสาหกรรมเกิดการพัฒนา ซึ่งท้ายที่สุดประโยชน์ที่แท้จริงก็จะตกอยู่ที่ตัวผู้บริโภค