Toys ‘R’ Us ไอคอนของร้านขายของเล่น ของเด็กๆ ทั่วโลกกำลังจะปิดตัวลงแล้วที่สหรัฐฯ หลังจากที่ประสบปัญหาขาดทุนและเป็นหนี้ก้อนโต (โดยเมื่อปีที่แล้วบริษัทขอยื่นล้มละลายต่อศาล) แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าเท่ากับว่า การปิดตัวของร้านขายของเล่นในตำนาน จะเป็นผลให้เกิดการว่างงานกว่า 30,000 ตำแหน่ง
การปิดตัวลงของ Toys ‘R’ Us ส่งผลต่อผู้ผลิตของเล่นกว่าร้อยเจ้าในอุตสาหกรรมที่ขายสินค้าให้กับร้านค้าแห่งนี้ ซึ่งรวมไปถึงบริษัทผู้ผลิต ‘บาร์บี้’ ตุ๊กตาผู้ชื่อดังของ Mattel Inc., บริษัทบอร์ดเกมอย่าง Hasbro Inc., ของเล่นดังอย่าง Lego ก็เช่นกัน และข่าวการเตรียมปิดสาขาหลายร้อยแห่งได้ฉุดให้ราคาหุ้นของ HasBro และ Mattel ตกลงทันที ที่ 4.6% และ 8% ตามลำดับ
เมื่อผู้บริโภคหันเหไปซื้อของผ่านระบบ E-Commerce มากกว่า เช่นสั่งผ่าน Amazon.com หรือเด็กๆ ก็ไม่ค่อยเล่นของเล่นกันแล้วโดยเลือกที่จะเล่นเกมผ่านแกดเจ็ทต่างๆ แทน Toys ‘R’ Us เองก็ติดหล่มไม่สามารถดันยอดขายได้ และมีตัวเลขขาดทุนสะสมมากถึง 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 77,500 ล้านบาท)
ส่วนแผนในการชำระหนี้นั้น Toys ‘R’ Us ระบุว่า จะพยายามหาหนทางขายสินค้าที่คงเหลืออยู่ตามร้านสาขาต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ 735 สาขาให้ได้ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ พร้อมกับเตรียมที่จะปิดภายในสิ้นปีนี้ รวมทั้งมีแผนที่จะขายร้านค้าอื่นในต่างประเทศด้วยเช่นแคนาดา
นับได้ว่าเป็นเรื่องเศร้าของการปิดตำนานร้านขายของเล่น ซึ่งมีอายุยาวนานกว่า 70 ปี โดยนับว่าเป็นสัญลักณ์สำคัญของยุค 1980s และ1990s
อย่างไรก็ตาม Toys “R” Us (Asia) ยืนยันว่า บริษัทไม่อยู่ใต้แผนปรับโครงสร้างหลังการยื่นล้มละลายของ “Toys “R” Us Inc” ในสหรัฐฯ เนื่องจากมีสถานะทางการเงินและทางกฎหมายเป็นอิสระต่อกัน ดังนั้นร้านสาขาทั้ง 226 แห่งภายใต้การดูแลซึ่งประกอบด้วยประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน จีน ฮ่องกง บรูไน รวมถึงสาขาของคู่ค้าอีก 35 แห่งในฟิลิปปินส์และมาเก๊าจะยังเปิดทำการต่อไปตามปกติ
ที่มา reuters.com