“ไม่มีดนตรี ไม่มีชีวิต ดนตรีเปี่ยมความหมายต่อชีวิตหนุ่มสาว และเราคือวิธีเข้าถึงมัน” ปิดตำนาน Russell Solomon สัญลักษณ์วัฒนธรรมดนตรีที่ชื่อ Tower Records

  • 183
  •  
  •  
  •  
  •  

TR2

เมื่อสุดสัปดาห์ระหว่างที่คนทั้งโลก กำลังลุ้นผลการประกาศรางวัลออสการ์ปี 2018 กันอย่างใจจดใจจ่อ มีข่าวช๊อค! วงการอุตสาหกรรมเพลงชิ้นหนึ่งแทรกเข้ามา

นั่นคือข่าวการจากไปของ รัสเซล โซโลมอน ผู้ก่อตั้งร้านขายเพลงในตำนาน ที่เปรียบได้ดั่งสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมแห่งยุค 80 – 90 ซึ่งก็คือ ‘Tower Records’ นั่นเอง

ไมเคิล โซโลมอน หรือลุงรัสเซล หรือที่ใครหลายคนเรียกสั้นๆ ว่า ‘Russ’ เสียชีวิตในวัย 92 ปี ด้วยอาการหัวใจวายในระหว่างดื่มวิสกี้ ขณะนั่งชมการประกาศรางวัลออสการ์

TR01

เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับชายผู้ยิ่งใหญ่ ที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง รวมถึงการสร้างสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ซึ่งก็คือร้านขายเพลงโลโก้สีเหลือแดง ที่ทั้งศิลปินชื่อดังและมิวสิคเลิฟเวอร์ทั่วโลกต่างหลงรัก ความคิดของความต้องการอยากอุทิศพื้นที่ตรงนี้ บอกเล่าเรื่องราวการก่อร่างสร้างตัว Tower Records ที่มีรัสเซล โซโลมอน เป็นผู้สรรค์สร้าง เพื่อเป็นเกียรติประวัติให้กับผู้ก่อตั้ง Tower Records

  • รัสเซล โซโลมอน เริ่มต้นเข้าสู่ธุรกิจการขายตั้งแต่ปี 1941 ซึ่งเขาเพิ่งจะมีอายุเพียง16 ปีเท่านั้น โดยใช้พื้นที่นอกร้านขายยาของพ่อของเขา ที่อยู่ภายใน Tower Theater โรงหนังระดับตำนานในเมืองซาคราเมนโต
  • ในปี 1960 รัสเซลได้ให้กำเนิด Tower Records สาขาแรกขึ้นมาที่เมืองซาคราเมนโต ด้วยเงินที่ยืมมาจากพ่อ 5,000 เหรียญ โดยกำหนดให้ร้านแห่งนี้เป็นศูนย์รวมแห่งแนวเพลงที่หลากหลาย ทั้งแจ๊ส,คันทรี่,คลาสสิค และอีกหลากหลายแนวที่หาฟังได้ยาก เรียกว่ามาร้านเดียวได้ครบจบทุกแนว เหมือนโมเดลของซุปเปอร์มาเก็ต ที่เป็นแหล่งรวมสินค้าทุกประเภท
  • นอกจากความหลากหลายของแนวเพลง รัสเซลยังเพิ่มเสน่ห์ให้กับ Tower Records ด้วยการเฟ้นหาพนักงานที่มีความรู้เรื่องเพลง และมีความรักในเสียงเพลงเช่นเดียวกับตัวเขา มาคอยให้คำแนะผู้ซื้อเพื่อสร้างรสนิยมในการฟังดนตรีใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้าของเขาเอง และนี่ก็เป็นจุดแตกต่างที่ไม่สามารถหาได้จากร้านขายเพลงที่ไหน
  • หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี รัสเซลจึงเริ่มแผนการขยายสาขาของ Tower Records ไปที่ซานฟรานซิสโก ในปี 1968 ซึ่งที่นี่ถูกบันทึกว่าเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดขนาดพื้นที่ถึง 6,000 ตารางฟุต และหลังจากนั้นที่ก็เป็นที่ลอสแอนเจิลลิส และลอนดอน ประเทศอังกฤษ จนในที่สุด Tower Records ก็มีสาขากระจายอยู่ทั่วทั้งอเมริกา รวมทั้งประเทศอื่นๆ ถึง 271 สาขา (รวมถึงสาขาในประเทศไทยที่ห้างเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ด้วย) สร้างรายได้มหาศาลถึง 1 พันล้านเหรียญ เมื่อเข้าสู่ยุค 90 กลายเป็นบุคคลที่สร้างอาณาจักร Tower Records ได้อย่างยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพล

TR3

  • รัสเซลได้สร้างนโยบายให้พนักงานของเขากว่า 8,000 คน สามารถแต่งตัว หรือทำผมแบบใดก็ได้ ตามที่พวกเขาต้องการ แต่สิ่งเดียวที่ต้องมีก็คือ ดีเอ็นเอความรักในเสียงเพลงให้ได้มากเท่าที่เขารัก
  • ไมเคิล โซโลมอน เคยให้รายละเอียดถึงทฤษฎีการสร้างร้านขายเพลง ที่ควรจะเป็นไปในแบบ Tower Records ไว้ว่า ต้องมีคลังเก็บสินค้าขนาดใหญ่ มีชั่วโมงการเปิด-ปิดร้านที่ยาวนาน ถือเป็นการนำโมเดลห้างค้าปลีกมาปรับใช้ ขยายเวลาเปิดปิดถึงเที่ยงคืน และทุกสาขาต้องบริหารจัดการโดยผู้คนในท้องถิ่น เพราะพวกเขาจะมีประสบการณ์และความรู้รอบตัวว่า อัลบั้มไหน ของศิลปินคนใด ที่คนในพื้นที่นั้นๆ ชอบ ทั้งยังสามารถกำหนดได้ว่า ควรจะสต๊อกสินค้าไว้ได้เท่าไหร่
  • รัสเซล โซโลมอน เป็นอีกหนึ่งมหาเศรษฐีที่เรียนไม่จบ แม้กระทั่งในระดับไฮสคูล แต่ครั้งหนึ่งเขาเคยติดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดในอันดับ 335 ในลิสต์ ‘400 Richest Americans’ ของนิตยสาร Forbes
  • ในปี 1985 รัสเซลเกือบจะต้องติดคุก หลังจากการเปิดสาขาที่ประเทศอังกฤษ เพราะการเปิดร้านวันอาทิตย์เป็นเรื่องผิดกฎหมายแรงงานของสหราชอาณาจักร
  • รัสเซล เคยให้สัมภาษณ์ Associated Press ในปี 1988 เกี่ยวกับการขยายธุรกิจของ Tower Records ไว้ว่า “มันเหมือนกับการปีนขึ้นบนยอดเขาสูง ซึ่งอันตรายมากที่จะทำแบบนั้นได้ แต่ความเสี่ยงและความอันตรายต่างๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการผจญภัย” คำพูดนี้ตอกย้ำถึงความเป็นคนกล้าท้าทายในสิ่งต่างๆ ที่เป็นไปได้ยาก ของชายผู้นี้ได้เป็นอย่างดี
  • “ไม่มีดนตรี ไม่มีชีวิต ดนตรีเปี่ยมความหมายต่อชีวิตหนุ่มสาว และเราคือวิธีเข้าถึงมัน” ประโยคสุดคลาสสิคของรัสเซล ที่กล่าวไว้ในภาพยนตร์สารคดี “All Thing Must Pass” ซึ่งเป็นประโยคที่ใครหลายคนต่างจดจำและประทับไว้ในความทรงจำอีกนานเท่านาน

TR4

ถึงแม้วันนี้ของ รัสเซล โซโลมอน ยังไม่มีอีกแล้ว แต่ตำนานความยิ่งใหญ่ของ Tower Records ที่เขาได้สร้างขึ้น ล้วนถูกเก็บเป็นความทรงจำในโลกของวงการดนตรีไปเรียบร้อย รวมถึงถ้อยคำๆ หนึ่ง ที่ลุงรัสส์ได้กล่าวอธิบายถึงตัวตนของร้านขายเพลงแห่งนี้ในสารคดี All Things Must Pass จะเป็นอมตะวลีที่ผู้คนต้องจดจำ เมื่อนึกถึงสัญลักษณ์แห่งวัฒนธรรมดนตรีสีเหลืองแดงแห่งนี้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด หรือแม้แต่ในอนาคตจะไม่หลงเหลือร้านขายเพลงแล้วก็ตาม


  • 183
  •  
  •  
  •  
  •