“การแข่งขันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเป็นโลกเสรี และ “ไปรษณีย์ไทย” (ปณท) เป็นรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้ผูกขาด ดังนั้นเราแข่งขันมาโดยตลอด เพียงแต่ในอดีตที่ผ่านมาคู่แข่งยังไม่ค่อยเข้ามา เพราะการส่งของยังน้อยอยู่ แต่วันนี้เมื่อเทคโนโลยีเจริญ ทำให้ปริมาณการค้าออนไลน์มีมากขึ้น จึงเป็นโอกาสธุรกิจที่ทำให้มีบริษัทขนส่งและโลจิสติกส์ ทั้งบริษัทท้องถิ่น และบริษัทต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
ความได้เปรียบของเอกชน คือ ความคล่องตัว ขณะที่ “ไปรษณีย์ไทย” เป็นหน่วยงานของรัฐ มีกฎระเบียบ ทำให้การขยับแต่ละอย่าง สู้เอกชนไม่ได้ อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอยู่ได้ จากเมื่อก่อนเคยมีคำกล่าวกันว่า “ปลาใหญ่ กินปลาเล็ก” ต่อมาเป็น “ปลาเร็ว กินปลาช้า” แต่วันนี้องค์กรที่จะอยู่ได้ยืนยาว และเติบโตต่อไป คือ องค์กรที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ เพราะฉะนั้นไปรษณีย์ไทย ต้องปรับคน – องค์กร เพื่อทำให้เราอยู่ได้”
นั่นคือคำให้สัมภาษณ์ของ “คุณสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท)” ฉายภาพถึง Landscape ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ในวันนี้ที่เปลี่ยนแปลงไป
เพราะฉะนั้นเพื่อให้แข่งขันได้ ท่ามกลางคู่แข่งภาคเอกชนที่มากขึ้น และรองรับการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ที่จะทำให้การส่งสินค้าทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศ มีปริมาณเพิ่มขึ้นมหาศาล ซึ่งในประเทศที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซพัฒนาไปไกล เช่น สหรัฐอเมริกา, จีน ระบบโลจิสติกส์ และการชำระเงินขยับไปในสเต็ป e-Logistics และ e-Payment แล้ว สำหรับในประเทศไทย ต่อไปต้องเดินไปในทิศทางดังกล่าวเช่นกัน
นี่จึงเป็นที่มาของปรับตัวและยกระดับคุณภาพบริการสู่ “ไปรษณีย์ไทย 4.0” เน้นแผนงานที่ต้องทำให้สำเร็จใน 3 ด้าน คือ
1. พัฒนาคุณภาพการให้บริการ และภาพลักษณ์การให้บริการ รวมทั้งภาพลักษณ์ที่ทำการไปรษณีย์อนุญาต และภาพลักษณ์การนำจ่าย
2. นำเทคโนโลยีมาใช้ทั้งระบบตั้งแต่ การรับฝาก – คัดแยก – ส่งต่อ – นำจ่าย เพื่อให้รองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นเช่น นำเครื่องคัดแยกแบบ Cross Belt Sorter และ Mixed Mail Sorter มาใช้ในการปฏิบัติงานให้มีความรวดเร็วขึ้น
3. พัฒนาศักยภาพด้านโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มโอกาสการสร้างรายได้ระยะยาว โดยร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ เช่น เปิดจุดให้บริการรับฝากในพื้นที่ห้างสรรพสินค้า และสถานีบริการน้ำมัน พร้อมทั้งปรับปรุงระบบการบริหารจัดการองค์กร ด้วยการวางระบบกระจายอำนาจในลักษณะ Area Coach เพื่อควบคุณคุณภาพ และการให้บริการของที่ทำการไปรษณีย์
ผ่าแผนตั้ง “ศูนย์ไปรษณีย์แห่งใหม่” – รุกเจาะลูกค้าธุรกิจ e-Commerce
นอกจากนี้ “ไปรษณีย์ไทย” ได้เตรียมจัดตั้ง “ศูนย์ไปรษณีย์แห่งใหม่ใช้ระบบ Full Automation” 2 แห่ง คือ จังหวัดชลบุรี ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) และจังหวัดอยุธยา เพื่อรองรับปริมาณงานที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
และจะเปิด “ศูนย์ไปรษณีย์ e-Commerce” เพื่อแยกระบบการขนส่งสินค้า e-Commerce ออกจากระบบงานขนส่ง EMS ปกติ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ e-Commerce โดยเฉพาะ
คุณสมร ขยายความเพิ่มเติมว่า ไปรษณีย์ไทย มีบริการรองรับกลุ่มธุรกิจ e-Commerce ซึ่งถือเป็นลูกค้ากลุ่มหลักอีกกลุ่มหนึ่งของไปรษณีย์ไทยด้วย ไม่ว่าจะเป็น บริการ Prompt Post เตรียมการฝากส่งล่วงหน้า บริการเรียกเก็บเงินปลายทาง (COD) เป็นบริการเสริมใช้ควบคู่กับบริการ EMS โดยจัดทำจ่าหน้าผ่านระบบ Prompt Post ผู้รับปลายทางสามารถชำระเงินค่าสินค้าผ่าน Wallet@Post ของไปรษณีย์ไทย
สำหรับการส่งของให้ลูกค้าที่ต่างประเทศ ก็มีบริการเหมาจ่าย EMS One Price คิดตามขนาดกล่อง/ซอง บริการ e-Packet รองรับ และส่งเสริมธุรกิจ e-Commerce ระหว่างประเทศที่ต้องการฝากส่งสินค้าในราคาประหยัด บริการ Courier Post เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการส่งสินค้าที่มีมูลค่าและต้องการความรวดเร็ว และบริการ EMS World ซึ่งนำจ่ายได้ตามมาตรฐานที่กำหนด (Delivery on Time) สูงถึง 98% ตามหลักเกณฑ์และเป้าหมายที่ UPU กำหนด ถึงที่หมายภายใน3 – 5 วัน
นอกจากนี้ยังได้ติดตั้ง GPS ที่รถขนส่งไปรษณีย์กว่า 1,000 คัน แล้ว เพื่อควบคุมคุณภาพการขนส่งให้ทันเวลา สามารถติดตามรถขนส่งได้แบบ Real Time ลดปัญหาความล่าช้า ซึ่งก็ทำให้การควบคุมการส่งต่อไปรษณียภัณฑ์เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ตรงเวลา
“ความได้เปรียบของไปรษณีย์ไทย ที่แตกต่างจากผู้ให้บริการขนส่งและโลจิสติกส์รายอื่น คือ เรารู้จริงในพื้นที่ ความชำนาญในการส่ง และความเป็นมิตรกับคนในชุมชนที่ยังเชื่อใจพนักงานนำจ่าย ซึ่งปัจจุบันไปรษณีย์ไทยมีพนักงานนำจ่ายมากกว่า 10,000 คน จากพนักงานทั้งหมด 36,000 คน โดยเราเพิ่มพนักงานนำจ่ายมากขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนครัวเรือนในไทย” คุณสมร กล่าวทิ้งท้าย