มีใครเคยสงสัยบ้างว่า น้ำมันที่เราแวะไปเติมที่ปั๊มมีที่มาอย่างไร กระบวนการที่สำคัญคือการกลั่นน้ำมัน และคนที่อยู่เบื้องหลังที่สำคัญต้องยกให้ไทยออยล์ ที่ในปัจจุบันไม่ได้แค่เป็นโรงกลั่นน้ำมันอย่างเดียว แต่ยังครอบคลุมธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจสารทำละลาย ธุรกิจบริหารการขนส่งทางท่อ ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาด และธุรกิจ New S-Curve อีกด้วย
ทำความรู้จัก ไทยออยล์
ไทยออยล์เป็นโรงกลั่นน้ำมันเอกชนของไทยรายแรก ปัจจุบันมีการดำเนินธุรกิจมาแล้วกว่า 63 ปี โดยช่วงก่อตั้งธุรกิจใช้ชื่อว่า “บริษัท โรงกลั่นน้ำมันไทย จำกัด” แต่ในปี พ.ศ.2528 มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท ไทยออยล์ จำกัด” จนกระทั่งปี พ.ศ.2547 ไทยออยล์เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แปรสภาพกลายเป็นบริษัทมหาชน โดยจดทะเบียนในชื่อ “TOP”
เป้าหมายสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ด้วยโลกที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและความใส่ใจสิ่งแวดล้อม ทำให้ ไทยออยล์ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ มุ่งสู่วิสัยทัศน์ “Empowering Human Life through Sustainable Energy and Chemicals” หรือ ”สร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ ที่ยั่งยืน” เพื่อเป็นบริษัทพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง และส่งมอบผลตอบแทนที่ดี สร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
ไทยออยล์ตั้งเป้าหมายสัดส่วนกำไรจากธุรกิจต่างๆ ดังนี้
- ธุรกิจปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงของปิโตรเลียม อยู่ที่สัดส่วน 45% จากปัจจุบันที่มีประมาณ 70%
- ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงของปิโตรเคมี อยู่ที่สัดส่วน 30%
- ธุรกิจใหม่ (New S-Curve) อยู่ที่สัดส่วน 20%
- ธุรกิจไฟฟ้า อยู่ที่สัดส่วน 5%
โดยวาง กลยุทธ์ ที่เรียกว่า 3Vs ดังนี้
1. ‘Value Maximization’ สร้างคุณค่าสูงสุดด้วยการต่อยอดปิโตรเลียมสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง
2. ‘Value Enhancement’ บูรณาการบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่าเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในประเทศ ขยายตลาดและกระจายสินค้าไปต่างประเทศ
3. ‘Value Diversification’ ขยายการลงทุนไปยังธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น New S-Curve ที่สอดคล้องกับแนวโน้มธุรกิจในอนาคต โดยมุ่งเน้นธุรกิจที่มีมูลค่าสูง (HVB) เช่น ธุรกิจสารเคมีสำหรับยับยั้งและกำจัดเชื้อโรค และสารลดแรงตึงผิวที่ใช้ในอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด (Disinfectants & Surfactants) และธุรกิจใหม่ที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ รวมถึง การลงทุนและสร้างธุรกิจผ่าน Corporate Venture Capital (CVC) โดยจะมุ่งเน้นใน 3 กรอบธุรกิจ ได้แก่ กลุ่ม Manufacturing Intelligence Technology กลุ่ม Sustainability Technology และกลุ่ม New Energy and Mobility Technology นอกจากนั้น ยังสร้างรายได้ที่มั่นคงจากธุรกิจไฟฟ้า ผ่านการดำเนินการของโรงไฟฟ้า TOP SPP ของกลุ่มไทยออยล์ และสร้างการเติบโตผ่านการลงทุนในบริษัท GPSC ซึ่งเป็น Flagship ด้านโรงไฟฟ้าในกลุ่ม ปตท.
ภายใต้แนวทางการดำเนินงาน TOP for the Great Future โดย คำว่า “TOP” ประกอบด้วย
T (Transformation): ปรับโฉมองค์กรในทุกมิติ ทั้งเรื่องธุรกิจ พัฒนาคนและองค์กร นวัตกรรม การนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานหรือกระบวนการทำงาน (Digitalization) และการเงิน เพื่อให้พร้อมสำหรับธุรกิจในอนาคต
O (Operational to Business Excellence): ยกระดับสู่ระบบการบริหารธุรกิจเชิงบูรณาการเพื่อความเป็นเลิศ (Business Excellence) ด้วยเทคโนโลยีและระบบงานที่เป็นระดับสากล รวมถึงทีมงานมืออาชีพ
P (Partnership & Platform): การสร้างการเติบโตด้วยแนวทางความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างแพลตฟอร์มทางธุรกิจที่สำคัญทั้งในและต่างประเทศ
ชวนมองการเปลี่ยนแปลงของไทยออยล์
ไทยออยล์เป็นหนึ่งในธุรกิจขนาดใหญ่ที่ดำเนินเป็นธุรกิจแบบต้นน้ำในรูปแบบ B2B ซึ่งที่ผ่านมาทาง บริษัท ไทยออยล์ ได้มีการขยับตัวทางด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนเบื้องหลังของอีกหลายธุรกิจ และยังช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การเติบโตของธุรกิจที่ยั่งยืน
#Thaioil
#MarketingOops
#ไทยออยล์ #สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน #พลังที่ขับเคลื่อนทุกความฝัน