หลังจาก “เป๊ปซี่โค” (Pepsico) พี่ใหญ่ในวงการเครื่องดื่มระดับโลก จากสหรัฐอเมริกา และ “ซันโทรี่” (Suntory) ยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มระดับโลก ที่มีต้นกำเนิดในญี่ปุ่น เป็นพันธมิตรธุรกิจมายาวนาน 35 ปี ด้วยการที่ซันโทรี่ รับบรรจุให้กับเป๊ปซี่
แต่แล้วเมื่อปลายปี 2017 จากพันธมิตรธุรกิจ ได้สานต่อความสัมพันธ์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จนกลายเป็นดีลใหญ่สะเทือนวงการตลาดเครื่องดื่มในไทย เมื่อ Global Company ทั้งสอง ประกาศร่วมทุนกับ “เป๊ปซี่โค” จัดตั้ง “บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ ประเทศไทย) จำกัด” หรือ “SPBT” ทุนจดทะเบียนมูลค่า 19,680 ล้านบาท สัดส่วนการถือหุ้น ซันโทรี่ 51% – เป๊ปซี่โค 49% หลังจากก่อนหน้านี้ดีลยักษ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นแล้วในอเมริกา, นิวซีแลนด์, ญี่ปุ่น, สเปน, เวียดนาม
เหตุผลสำคัญที่ทำให้สองยักษ์ใหญ่ธุรกิจเครื่องดื่มแห่งโลกตะวันออก “ซันโทรี่” และพี่ใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหาร-เครื่องดื่มแห่งโลกตะวันตก “เป๊ปซี่” จับมือกัน จนกลายเป็นการร่วมทุนครั้งประวัติศาสตร์ มาจากต่างฝ่ายต่างต้องการเสริมความแข็งแกร่งซึ่งกันและกัน
“East meet West” เมื่อสองบริษัทจากโลกตะวันออก – ตะวันตก โคจรมาพบกัน
ก่อนที่จะเจาะลึกรายละเอียดมากกว่านี้ เรามาทำความรู้จักทั้งสองฝ่าย ที่ฝั่งหนึ่งถือกำเนิดขึ้นในโลกตะวันออก จนเติบโตและกลายเป็น Global Company ขณะที่อีกฝ่าย เกิดขึ้นในโลกตะวันตก แล้วได้ขยายธุรกิจครอบคลุมทั่วโลก
“ซันโทรี่” จากร้านนำเข้าไวน์ต่างประเทศในเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ได้ขยับขยายธุรกิจไปเป็นผู้ผลิตวิสกี้ โดยทุกวันนี้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหาร-เครื่องดื่มรายใหญ่ระดับโลก มีบริษัทในเครือ 312 บริษัท พนักงานในเครือรวม 37,745 คน ดำเนินธุรกิจทั้งในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุดของซันโทรี่ รองลงมาคือ ทวีปอเมริกา, ยุโรป, เอเชีย และโอเชียเนีย
มีรายได้รวม 2,158 พันล้านเยน โดย 57% มาจากกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ / 33% เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ 10% อื่นๆ
“เป๊ปซี่โค” ปัจจุบันมี 22 แบรนด์ ที่มียอดขายปลีกต่อปี 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีมากกว่า 30 แบรนด์ ที่มียอดขายปลีกต่อปี 250 – 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ครอบคลุมทั้งธุรกิจอาหาร, ขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่ม แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ “Fun For You” ผลิตภัณฑ์ที่กิน-ดื่มสนุก เช่น เป๊ปซี่ – “Better For You” ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์สุขภาพ และ “Good For You” ผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ โดยเมื่อปี 2017 มีรายได้รวม 63,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีเครือข่าย 200 ประเทศทั่วโลก พนักงาน 260,000 คน
เสริมศักยภาพความแข็งแกร่ง
คำตอบของการร่วมทุนครั้งนี้ ถือเป็น win-win strategy ที่ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองบริษัท โดยใช้ความแข็งแกร่งของแต่ละฝ่ายมาผนึกกำลังกัน
จุดแข็งของ “ซันโทรี่” ประกอบด้วย
– มีพอร์ตโฟลิโอของผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทแม่ และเป็นฐานทัพสำคัญ คาดการณ์ว่ามีมากกว่า 100 แบรนด์ โดยในแต่ละ Season จะมีการออกสินค้านวัตกรรมใหม่ต่อเนื่อง ทำให้ในพอร์ตโฟลิโอมีสินค้าทั้ง In และ Out ตลอด โดยมี “แบรนด์หลัก” ที่ทำยอดขายได้ตลอดกาล
การมีนวัตกรรมใหม่ ทำให้ตลาดเครื่องดื่มในญี่ปุ่น พัฒนาไปไกล จาก Segmentation ขยับไปสู่ Fragmentation ที่ซับซ้อน และละเอียดกว่าประเทศไทยหลายเท่า
– มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัย และพัฒนาในตลาดอาเซียน
– ขับเคลื่อนการทำงานด้วยแนวคิดที่เรียกว่า “โมโนโซคูริ” คือ การนำเสนอคุณค่าใหม่ – สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ปลอดภัย เชื่อถือได้ – มีมุมมองที่เชื่อมโยงธรรมชาติ และผู้บริโภค – พัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยี – พัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของโรงงาน – พัฒนาบุคลากร
ขณะที่ความแข็งแกร่งของฝั่ง “เป๊ปซี่โค” ประกอบด้วย
– มีพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และมีชื่อเสียง โดยเฉพาะในกลุ่มน้ำอัดลม
– มีโครงสร้างการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีระบบกระจายสินค้าที่ครอบคลุม
– มีความพร้อมด้านทีมงาน
สำหรับในไทย ถือเป็นหนึ่งใน Strategic Country ของเป๊ปซี่โค เพราะตลาดเครื่องดื่มในไทย มี Market Size ใหญ่ ด้วยมูลค่า 154,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นตลาดน้ำอัดลม 50,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะแตก Segmentation อีกมาก ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากแยกทางกับ “เสริมสุข” ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา “เป๊ปซี่โค” ทุ่มเงินลงทุนสำหรับตลาดไทยโดยเฉพาะ มากกว่า 20,000 ล้านบาท !!
ทั้งการตั้งโรงงานผลิต 2 แห่ง ที่ระยอง ในปี 2012 และสระบุรี ในปี 2016 มีสายการผลิต 12 สาย / มีพันธมิตรกระจายสินค้า 25 ราย / มีจุดส่งสินค้า (Drop Point) 68 จุด / เป็นพันธมิตรกับ DHL ในด้านโลจิสติกส์ และคลังสินค้า / ครอบคลุมร้านค้าปลีกกว่า 470,000 แห่งทั่วประเทศ / มีพนักงานในไทย 1,016 คน
และปัจจุบันในตลาดน้ำอัดลมประเทศไทย กลุ่มไม่คืนขวด (Non-returnable bottle) “เป๊ปซี่” มีส่วนแบ่งการตลาดเซ็กเมนต์โคล่า หรือน้ำดำ 45% และถ้าวัดภาพรวมน้ำอัดลม กลุ่มไม่คืนขวด “เป๊ปซี่” มีส่วนแบ่งการตลาด 34%
4 เทรนด์ใหญ่ ที่แบรนด์ต้องไม่พลาด !!
จากการร่วมทุน และนโยบาย PWP 2025 ของเป๊ปซี่โค เพื่อเป็นการรองรับ 4 เทรนด์ใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นในไทย ได้แก่
1. การเติบโตของ Urbanization หรือความเป็นเมือง โดยคนจะอยู่ในเมืองมากขึ้น ซึ่งในประเทศไทย คาดการณ์ว่าปี 2018 ประชากรไทย 50% จะอยู่ในเมือง จากนั้นปี 2020 จะเพิ่มขึ้นเป็น 52% ของคนไทยอาศัยในเมือง
2. ผู้บริโภคให้ความใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น โดยภาพรวมประชากรไทย 37% ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และ 68% ของประชากรไทยทั้งหมด ให้ความสำคัญกับอาหารบำรุงสุขภาพ
3. คนไทยนิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น สะท้อนได้จากมูลค่าการทำธุรกรรมผ่านอีคอมเมิร์ซของธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง เมื่อปี 2017 อยู่ที่ 869,618 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2016 อยู่ที่ 713,690 ล้านบาท
4. ร้านสะดวกซื้อ และร้านค้าปลีกขนาดเล็ก เติบโตมากกว่าค้าปลีกขนาดใหญ่ เนื่องจากผู้บริโภคต้องการความสะดวก รวดเร็ว ทำให้ค้าปลีกไซส์เล็กตอบโจทย์ได้ดีกว่าค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น ไฮเปอร์มาร์เก็ต
ผ่าวิสัยทัศน์ “Growing for Good”
จากความร่วมมือระหว่างสองยักษ์ใหญ่ นำมาสู่การเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ “Growing for Good” หรือ “เติบโตอย่างยั่งยืน” ใน 5 ด้านสำคัญ ที่ยังสอดรับกับ Mega Trends ดังกล่าวเช่นกัน
– เสริมสร้างความแข็งแกร่งในผลิตภัณฑ์หลัก ด้วยการลงทุนในแบรนด์อย่างยั่งยืน
– เสริมสร้างการเติบโตผ่านการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ด้วยนวัตกรรมสินค้าเพื่อสุขภาพ
– ขยายตลาด Traditional Trade และ Modern Trade
– เพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรในการผลิตทุกๆ ปี / ลดปริมาณแคลอรี่ในผลิตภัณฑ์ และปริมาณการใช้น้ำในการผลิต
– พัฒนาองค์กร ด้วยการสร้างแบรนด์องค์กร และวัฒนธรรมการทำงานที่ดี
ตั้งเป้าลดน้ำตาล – โซเดียม – ไขมันอิ่มตัว – เพิ่มสินค้าสุขภาพ และไม่อัดลม
ขณะเดียวกันการร่วมทุนครั้งนี้ ยังสอดคล้องกับหนึ่งในนโยบาย “PWP 2025” (Performance with Purpose 2025) ซึ่งเป็นพันธกิจระดับโลกของ “เป๊ปซี่โค” นั่นคือ นโยบายด้านผลิตภัณฑ์อาหาร-ขนมขบเคี้ยว-เครื่องดื่ม
โดยภายในปี 2025 เป๊ปซี่โค ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนเครื่องดื่มที่น้ำตาลไม่เกิน 100 แคลอรี่ต่อปริมาณ 12 ออนซ์ ให้ได้ 2 ใน 3 ของพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งที่ผ่านมามีสินค้าที่ลดปริมาณน้ำตาลลง เช่น อความฟิน่า วิต ซ่า, มิรินด้า มิกซ์-อิท, เป๊ปซี่ แม็กซ์ เทสต์, ชาเขียวลิปตัน กลิ่นมะม่วงใบเตย และเซเว่นอัพ โลว์ชูการ์ และเตรียมนำเสนอผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพิ่มเติมอีกมาก
ขณะเดียวกันนอกจากลดปริมาณน้ำตาลลงแล้ว แผนการตลาดในประเทศไทย จะเพิ่มพอร์ตโฟลิโอกลุ่มเครื่องดื่มสุขภาพ และเครื่องดื่มไม่อัดลมประเภทต่างๆ
วิธีการ shot cut เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้นได้ ในตลาดสำคัญอย่างอเมริกา, นิวซีแลนด์, ญี่ปุ่น, สเปน, เวียดนาม และไทย “เป๊ปซี่โค” จึงได้ร่วมทุนกับ “ซันโทรี่”
“แนวโน้มของเป๊ปซี่โค จะไปในสิ่งที่นอกเหนือจากน้ำอัดลม ซึ่งเป็นสิ่งที่ “ซันโทรี่” มีความแข็งแกร่ง ดังนั้นการร่วมทุน ทำให้เป๊ปซี่โคได้ทั้งองค์ความรู้ และแบรนด์กลุ่มเครื่องดื่มสุขภาพ และเครื่องดื่มไม่อัดลมเข้ามาเติมเต็ม เช่น ผลิตภัณฑ์ชาพร้อมดื่ม Tea Plus ที่ปัจจุบันขยายตลาดไปยังอินโดนีเซีย และเวียดนาม
ขณะเดียวกัน “ซันโทรี่” ก็สามารถนำแบรนด์ชั้นนำของ “เป๊ปซี่โค” ขยายตลาดไปยังญี่ปุ่นได้เช่นกัน เช่น แบรนด์น้ำส้ม Orengina จากฝรั่งเศส ได้เข้าไปทำตลาดในญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นเราจะเลือกเอาสิ่งที่แต่ละฝ่ายมีความแข็งแกร่งมาผนึกกำลังกัน เพื่อสร้างการเติบโต” คุณโอเมอร์ มาลิค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ฉายภาพถึงการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
พร้อมขยายความเพิ่มเติมว่า ตัวอย่างของในภูมิภาคอาเซียน ที่เป๊ปซี่โค นำแบรนด์เครื่องดื่มจากซันโทรี่เข้าไปทำตลาด เช่น นำแบรนด์กาแฟพร้อมดื่ม Boss เข้าไปทำตลาดในเวียดนาม ขณะที่ตลาดประเทศไทย เวลานี้ “ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ” อยู่ระหว่างศึกษาตลาดว่าจะนำเครื่องดื่มแบรนด์ไหน และ Category ใดจากซันโทรี่เข้ามาทำตลาดในไทย
“เราจะเพิ่มสัดส่วนเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ และเครื่องดื่มไม่อัดลมมากขึ้น โดยต้องพิจารณาทั้งชื่อเสียงแบรนด์ และความเหมาะสมของตลาด โดยปีนี้จะได้เห็นสินค้าใหม่ในไทยอย่างแน่นอน” คุณโอเมอร์ มาลิค สรุปทิ้งท้ายถึงทิศทางธุรกิจเป๊ปซี่โค ซันโทรี่