Starbucks ตัดสินใจปิด Teavana เชนร้านชา 379 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา โดยจะทยอยปิดจนครบตามที่กำหนดภายในปี 2018 ….ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น?
ย้อนไปเมื่อปี 2012 Howard Schultz ซีอีโอของ Starbucks ในขณะนั้นตัดสินใจซื้อกิจการร้านชา Teavana เพราะมองเห็นถึงศักยภาพการเติบโตในตลาดชา Teavana จึงกลายมาเป็นหนึ่งในเชนร้านชาของ Stabucks ซึ่งเปิดสาขาอยู่ทั่วสหรัฐ จนกระทั่งเมื่อเดือนเมษายนของปี 2017 หรือเมื่อประมาณ 4 เดือนก่อนหน้านี้ Teavana เริ่มมีสัญญาณว่าจะไปไม่รอดจากการที่ Kevin Johnson ซีอีโอคนปัจจุบันออกมาแง้มว่า “เรารู้สึกว่านี่คือเวลาอันเหมาะสมที่เราจะตัดสินใจปิดร้านเหล่านั้น” (หมายถึงสาขาของ Teavana) โดยเขาได้กล่าวเสริมว่าตอนนี้คนเดินห้างกันน้อยลง ทำให้ Teavana ทำยอดขายไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
อย่างที่ทราบกันว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมาห้างสรรพสินค้าหลายแห่งทั่วสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับวิกฤติ เพราะคนเดินห้างกันน้อยลงอย่างต่อเนื่องจึงทยอยปิดตัวกันต่อเนื่อง อัตราการเดินห้างของชาวอเมริกันในช่วงปี 2010-2013 ลดลงกว่า 50% นับเป็นวิกฤิตอย่างรุนแรงของวงการห้างค้าปลีกในสหรัฐ วิกฤตินี้ส่งผลเป็นลูกโซ่จึงทำให้ร้านค้าต่างๆที่ตั้งอยู่ในห้างได้รับผลกระทบตามไปด้วย เช่นเดียวกันกับเชนร้านชา Teavana ของ Starbucks
ภาพล่างเป็นสถิติการปิดตัวของร้านค้าปลีกในอเมริกาเมื่อช่วงต้นปี 2017 จาก Businessinsider
การประกาศปิด Teavana ในสหรัฐเกิดขึ้นพร้อมกับการประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 สำหรับยอดขาย Starbucks ทั่วโลกนั้นกวาดไปได้ 691.6 ล้านเหรียญ หรือราวๆ 2.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นถึง 4% ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากยอดซื้อต่อบิลที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐที่มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 5% เพราะมีลูกค้าหน้าใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งลูกค้าเก่าก็ยังคงมีรอยัลตี้อย่างเหนียวแน่น
Source: Inc.com