“สเนลไวท์” (SNAILWHITE) เป็นแบรนด์สินค้าที่ถูกผลิตและจำหน่ายภายใต้บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD
แบรนด์สินค้านี้ ทุกคนต่างรู้จักเป็นอย่างดี โดยเฉพาะจากการได้นักแสดงหญิงที่มีชื่อเสียงถูกจ้างมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ เช่น อั้ม พัชราภา, ชมพู่ อารยา, มิว นิษฐา, นานา ไรบีนา ฯลฯ
และล่าสุดคือ “มาดามแป้ง” หรือ “นวลพรรณ ล่ำซำ” ผู้จัดการฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
พรีเซนเตอร์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุ สะท้อนให้เห็นว่า สเนลไวท์ เป็นสินค้าที่ใช้ได้กับทุกกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับ DDD เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2560 ด้วยราคาที่เสนอขายหุ้นสามัญทั่วไปให้กับประชาชน หรือ IPO จำนวน 76 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 53 บาท
การขายหุ้นไอพีโอของ DDD ประสบความสำเร็จอย่างสูง
เพราะมีนักลงทุนประเภทสถาบัน และรายย่อย ต่างจองซื้อในจำนวนมากกว่าจำนวนหุ้น (IPO) ที่เสนอขายหลายเท่าตัว
วันแรกของการเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ราคาหุ้น DDD เปิดตลาดที่ 99.00 บาท และขึ้นสูงสุด 100.00 บาท ก่อนจะลงมาปิดที่ระดับ 85.00 บาท หรือเพิ่มขึ้นจากราคาไอพีโอ 60.37% หลังจากนั้นราคาหุ้น DDD ปรับขึ้นมาโดยตลอด
และราคาเคยขึ้นไปสูงสุด 121 บาท(วันที่ 12 ก.พ.61) ก่อนที่จะมีแรงขายทำกำไรออกมา
แต่ราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ระดับสูง หรือระหว่าง 90 – 100 บาท
ราคาหุ้นที่ไม่ปรับลง สะท้อนได้ถึงความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อหุ้นดู เดย์ ดรีม และแบรนด์ “สเนลไวท์” ไว้เป็นอย่างดี
เรามาดูกันว่าธุรกิจของดู เดย์ ดรีมมีอะไรบ้าง
ธุรกิจของ DDD แบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ คือ 1. ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิว หรือ Skin Care ภายใต้เครื่องหมายหมายการค้า NAMU LIFE มีชื่อกลุ่มผลิตภัณฑ์ว่า สเนลไวท์ สำหรับประเภทการใช้งานต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์บำรุง และทำความสะอาดผิวหน้าและผิวกายและผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด
ช่องทางการขายสินค้า จะผ่านร้านค้าของบริษัทฯ และผ่านตัวแทนจำหน่ายหรือบริษัทจัดจำหน่ายสินค้า ซึ่งหนึ่งในบริษัทจำหน่ายสินค้าของดูเดย์ดรีม นั่นคือ บริษัท นามุ ไลฟ์ พลัส จํากัด
ดู เดย์ ดรีม มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ 6 กลุ่มย่อย คือ 1. ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า 2. ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย 3. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า 4. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกาย 5. ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด และ 6. ชุดของขวัญ (Gift Set)
ส่วนอีกธุรกิจของ ดู เดย์ ดรีม คือ การรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ภายใต้เครื่องหมายการค้าอื่นๆ หรือ OEM
เพิ่มช่องทางขายมากขึ้น
ดู เดย์ ดรีม ได้พยายามเพิ่มช่องทางการขายสินค้า โดยล่าสุดจับมือกับ ซีโน-แปซิฟิค ผู้นำในการขนส่งและกระจายสินค้าไปยังร้านค้าแบบดั้งเดิมทั่วประเทศ และมีประสบการณ์ยาวนานกว่า 40 ปี ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำของโลกกว่า 70 แบรนด์ให้เป็นผู้กระจายสินค้าในประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังจะมีการควบคุมดูแลคุณภาพสินค้า ด้วยระบบการจัดเก็บและขนส่งที่มีมาตรฐาน พร้อมด้วยคลังสินค้ารวม 4 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองสำคัญ ของแต่ละภูมิภาคของประเทศ ประกอบด้วย กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ และภูเก็ต ส่งผลให้การบริหารจัดการสินค้า และการควบคุมต้นทุนการขนส่งมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
การร่วมมือกับ ซีโน-แปซิฟิค จะช่วยเพิ่มศักยภาพการเข้าถึงร้านค้าดั้งเดิมกว่า 440,000 ร้าน ทั่วประเทศ จากปัจจุบันที่ ดู เดย์ ดรีม จำหน่ายสินค้าผ่านร้านค้าดั้งเดิมเพียง 1,300 ร้านค้า โดยมีสินค้าประเภทซอง เป็นผลิตภัณฑ์หลักในการรุกตลาดร้านค้าดั้งเดิม เพราะมีขนาดเล็ก และราคาเข้าถึงได้ง่ายในราคา 39 บาท
ซึ่งตอบรับกับพฤติกรรมการซื้อ และการใช้งานของผู้บริโภคได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่านร้านสะดวกซื้อ และร้านค้าดั้งเดิมอื่น
ทำให้ปัจจุบัน ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าในประเทศของ ดู เดย์ ดรีม จะครอบคลุมทั้งร้านค้าสมัยใหม่ (Modern Trade) ร้านค้าดั้งเดิม (Traditional Trade) และการกระจายสินค้าผ่านตัวแทน (Distribution Partner)
ทั้งนี้ การกระจายสินค้าผ่านตัวแทนและร้านค้าสมัยใหม่คิดเป็นสัดส่วน 31.3% และ 28.4%
ขณะที่รายได้จากการขายผ่านช่องทางร้านค้าดั้งเดิม คิดเป็นสัดส่วนเพียง 3.9% และมีการคาดการณ์จากผู้บริหารว่า การเจาะกลุ่มตลาดร้านค้าดั้งเดิมผ่านเครือข่ายของ ซีโน-แปซิฟิค จะช่วยให้สามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้ จากช่องทางการขายแบบดั้งเดิม ให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2561
นอกจากการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าอื่นๆ แล้ว ดู เดย์ ดรีม มีแผนเปิด NAMU LIFE Shop เพิ่มในอนาคต ในแต่ละภูมิภาคของประเทศ เช่น พัทยา ภูเก็ต หรือเชียงใหม่ ในจุดที่มีกลุ่มคนทำงาน หรือนักศึกษาสัญจรไปมาอย่างหนาแน่น เพื่อดึงลูกค้าที่สนใจเข้ามาทำความรู้จัก เห็นได้จากการประสบความสำเร็จกับ NAMU LIFE Shop สาขาสถานีบีทีเอส สยาม ที่ทำยอดขายเฉลี่ยได้สูงกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน
ยอดขายเพิ่มทุกปี ตลาดจีนขยายตัวสูง
ในด้านผลประกอบการของ ดู เดย์ ดรีม มีกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปี 2557 มีกำไรสุทธิ 27.5 ล้านบาท ปี 2558 กำไรเพิ่มเป็น 193.9 ล้านบาท ปี 2559 กำไร 335.2 ล้านบาท และปี 2560 กำไรเพิ่มขึ้นเป็น 351.60 ล้านบาท
ขณะที่รายได้จากการขายสินค้า พบว่า ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า มีสัดส่วนการสร้างรายได้ให้มากสุด (ปี 2560) หรือกว่า 85 -90% รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์ความสะอาดผิวกาย 7.5 – 8.0% และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า 4.5-5.0%
มีประเด็นที่น่าสนใจคือ เมื่อดูรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ ดู เดย์ ดรีม พบว่า ยอดขายต่างประเทศ (ส่วนใหญ่เป็นประเทศจีน) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในปี 2557 ดู เดย์ ดรีม มีรายได้จากขายขายในต่างประเทศ 83.7 ล้านบาท คิดเป็น 19.1% จากรายได้รวมทั้งหมด ปี 2558 ยอดรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 180.0 ล้านบาท คิดเป็น 18.8% , ปี 2559 มีรายได้ 146.2 ล้านบาท คิดเป็น 12.2 และปี 2560 มีรายได้จากต่างประเทศ 513 ล้านบาท คิดเป็น 32% ของรายได้รวม โดยรายได้จากต่างประเทศในปี 2560 จะเพิ่มมากกว่าปี 2559 กว่า 3.5 เท่า
ในปี 2561 ผู้บริหารของ ดู เดย์ ดรีม ยังคงคาดหวังว่า ยอดขายยังเติบโตในระดับสูงต่อไป จากความนิยมในตัวสินค้าของกลุ่มเป้าหมายที่มาจากกลุ่ม ทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในต่างประเทศที่ได้จำหน่ายสินค้าในประเทศจีน ผ่านช่องทางขายแบบออนไลน์ และได้รับผลตอบรับอย่างดี ที่ช่วยสร้างยอดขายกว่า 513 ล้านบาทในปี 2560
ดู เดย์ ดรีม พยายามที่จะสร้างช่องทางการขายใหม่ๆ เพื่อจะเพิ่มฐานลูกค้าชาวจีนให้มากยิ่งขึ้น เช่น ช่วงต้นปี 2561 ได้เริ่มจำหน่ายสินค้าผ่าน จูไห่ ดิวตี้ฟรี หรือ Zhuhai Duty Free นับว่าเป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้าแห่งใหม่ และดู เดย์ ดรีม เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายจากการส่งออกได้ดีขึ้น และจะนำไปสู่การขายสินค้าแบบออฟไลน์ในอนาคต
ทั้งนี้ จูไห่ ดิวตี้ฟรี ตั้งอยู่บริเวณชายแดนกงเป่ย เป็นพรมแดนระหว่างเมืองจูไห่ประเทศจีน และมาเก๊า
ปัจจุบันมียอดนักท่องเที่ยวหมุนเวียนสูงถึง 136 ล้านคนต่อปี หรือเฉลี่ย 250,000 คนต่อวัน ในช่วงวันธรรมดา และ 400,000 คนต่อวันในช่วงวันหยุด และทาง ดู เดย์ ดรีมย์ คาดว่าการจำหน่ายสินค้าแบรนด์ “สเนลไวท์” ที่ “จูไห่ดิวตี้ฟรี” จะช่วยให้ลูกค้าชาวจีนและนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ ได้ทำความรู้จักกับแบรนด์ และเข้าถึงสินค้าได้ง่ายยิ่งขึ้น
ประกอบกับดู เดย์ ดรีม ได้รับ China Food and Drug Administration(CFDA) หรือ เครื่องหมาย อย.ในประเทศจีน และนั่นทำให้ผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างยอดขายได้ดีในกลุ่มลูกค้าประเทศจีน มีความพร้อมที่จะขยายไปยังช่องทางการขายอื่นเพิ่มเติม เช่น Mainstream Ecommerce ทำให้เกิดการขายส่ง หรือ Wholesale มากขึ้น รวมถึงช่องทางการจำหน่ายแบบ “ออฟไลน์” ที่มีศักยภาพ และมีมูลค่าตลาดสูง
ในด้านของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์มองหุ้น DDD หรือ ดู เดย์ ดรีม กับการขยายตลาดสู่ประเทศจีนว่า มีโอกาสที่สัดส่วนยอดขายในต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นๆ ไปอีก และเติบโตไปพร้อมกับยอดขายในประเทศ ที่ได้เพิ่มช่องทางการขายเช่นเดียวกัน
สำหรับ DDD ได้รับ CDFA ใน 3 ผลิตภัณฑ์หลัก ที่มีรายได้สูงสุดในรายได้จากต่างประเทศ ทำให้มองว่าการได้รับ CFDA เป็นการเปิดประตูสู่ Mainstream e-commerce และตลาดออฟไลน์ของจีน อีกทั้งส่งผลให้สามารถขายสินค้าแบบ Wholesale ได้
ทั้งนี้ ดู เดย์ ดรีม อยู่ระหว่างรอการอนุมัติ CFDA อีก 16 ผลิตภัณฑ์ และคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในไตรมาส 1 ปี 2562 ขณะที่ปัจจุบันดู เดย์ ดรีม อยู่ระหว่างปรับ Packaging ตามข้อกำหนด CFDA โดยแล้วเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2561
ในปี 2561 ผู้บริหารของ ดู เดย์ ดรีม ตั้งเป้ารายได้จากต่างประเทศ อยู่ที่ 700 ล้านบาท แบ่งเป็นช่องทาง Mainstream e-commerce 300 ล้านบาท และ Cross border e-commerce 400 ล้านบาท ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า รายได้จากต่างประเทศของ ดู เดย์ ดรีม จะอยู่ที่ 873 ล้านบาท เพิ่ม 76% จากปี 2560 หรือ สูงกว่าที่ผู้บริหารคาดการณ์
ผ่านมาถึงวันนี้ ดู เดย์ ดรีม ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในด้านการตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ปัจจุบัน ดู เดย์ ดรีม ได้ส่งออกสินค้าไปยัง 5 ประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง ลาว กัมพูชา และพม่า และจะขยายตลาดไปอีก 2 ประเทศในปี 2561
ยิ่งการได้เงินจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ยิ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในด้านการจำหน่ายได้มากขึ้น เพราะจากแผนการใช้เงินของ ดู เดย์ ดรีม จะพบว่า จะนำไปขยายกำลังการผลิตของโรงงานที่ จ. พระนครศรีอยุธยา เพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัว เป็น 4 ล้านลิตร/ปี จากปัจจุบันมีกำลังการผลิต 1.9 ล้านลิตร/ปี โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงปลายปี 2561 คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2562
และอีกส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ในการสนับสนุนงานด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ราว 60 ล้านบาท และนำไปใช้สำหรับการขยายตลาดและขยายสาขา เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ที่จะเน้นการขยายตลาดในต่างประเทศมากขึ้น
ดู เดย์ ดรีม ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนยอดขายต่างประเทศเพิ่มเป็น 50% ในช่วง 5 ปี (ปี 2560-2564) จากปัจจุบันอยู่ที่ 32% ขณะที่ 68% เป็นยอดขายในประเทศ