สิงห์ เอสเตท เปิดเกมรุกสวนกระแส พร้อมผสานพันธมิตรกระจายความเสี่ยงเล็งแตะหมื่นล้าน

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

ในช่วงที่ผ่านมานอกจากธุรกิจด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดแล้ว ภาคธุรกิจอสังหาฯ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเฉพาะความไม่มั่นใจในการใช้จ่ายบวกกับภาวะเงินเฟ้อซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการลงทุนโดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาฯ จนทำให้ตลาดอสังหาฯ เกิดภาวะแช่แข็ง โครงการเดิมที่มีอยู่ก็ยังขายไม่หมด แล้วยังมีโครงการใหม่ที่ต่อแถวรอการก่อสร้าง ซึ่งผู้เล่นในตลาดอสังหาฯ ต่างก็พยายามหาวิธีแก้ปัญหา

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นตลาดอสังหาฯ ที่มีความขัดเจนโดยในปี 2565 คาดจะสามารถผลักดันให้เกิดการเติบโตของรายได้กว่าเท่าตัวทำสิถิติสูงสุดใหม่อยู่ที่ 1.34 หมื่นล้าน ซึ่งรายได้ที่เติบโตขึ้นมานั้นมาจากกลยุทธ์กระจายการลงทุน และการจับมือพันธมิตรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งใน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก โดยสิงห์ เอสเตท เตรียมประกาศวิสัยทัศน์การขยายตัวเฉลี่ยปีละ 25% ใน 5 ปี พร้อมทั้งเร่งหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ รองรับเทรนด์ใหม่ๆ และสร้าง Synergy ทางธุรกิจกับพันธมิตร

ด้าน คุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท ชี้ว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตทได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์กระจายการลงทุนเพื่อสร้างความหลากหลายใน 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ

และในปี 2565 นี้ สิงห์ เอสเตทมีแผนในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านรายได้และการเงินอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการต่างๆ รวมถึงโครงการร่วมทุนกับพันธมิตร และการนำทรัพย์เข้ากอง เอส ไพรม์ โกรท หรือ SPRIME โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากผลงานในปี 2564 ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 7,739 ล้านบาท ได้อีกเกือบเท่าตัว โดยตั้งเป้ารายได้ไว้อยู่ที่ 13,400 ล้านบาท

 

4 ธุรกิจหลักหัวใจของสิงห์ เอสเตท

สำหรับในปั 2565 สิงห์ เอสเตทจะเน้นกลยุทธ์กระจายการลงทุนเพื่อสร้างความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจ โดยรายได้หลักจะมาจาก 4 กลุ่มธุรกิจหลักของสิงห์ เอสเตท ซึ่งมาจากธุรกิจที่อยู่อาศัย 25%, ธุรกิจอาคารสำนักงาน 8%, ธุรกิจโรงแรม 63% และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและอื่นๆ อีก 4%

โดย ธุรกิจที่อยู่อาศัย มีการตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้น 50% ในปีนี้ จากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดพร้อมอยู่ 2 โครงการทั้งโครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (The ESSE at Singha Complex) และ ดิ เอส อโศก (The ESSE Asoke) รวมไปถึงโครงการบ้านแนวราบอย่าง สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ 70% ในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดโครงการแนวราบเพิ่มอีก 1 โครงการในทำเลพัฒนาการช่วงครึ่งปีหลัง

 

ด้าน ธุรกิจอาคารสำนักงาน ในช่วงกลางปีนี้จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของโครงการ เอส โอเอซิส (S OASIS) ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานพร้อมพื้นที่รีเทลแห่งใหม่ย่านลาดพร้าว ด้วยพื้นที่รวม 55,700 ตารางเมตร โดยตั้งเป้าว่าจะมีอัตราการเช่าพื้นที่ราว 50% รวมถึงการกลับมาอีกครั้งของโครงการ เอส เมโทร (S METRO) อาคารสำนักงานหรูย่านพร้อมพงษ์

ส่วน ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในปี 2565 มีความพร้อมในการรับรู้รายได้จากการขายและโอนที่ดินเป็นปีแรก หลังจากที่ได้มีการเข้าไปลงทุนและปรับพื้นที่ รวมถึงก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานไปแล้วในปี 2564 ทั้งนี้ได้ตั้งเป้าโอนที่ดินในปีนี้ราว 15% ของพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีพื้นที่ขายรวมราว 992 ไร่ ขณะที่ ธุรกิจโรงแรม มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเติบโตราว 88% จนก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้ประกอบการโรงแรมไทยที่มียอดรายได้สูงขึ้นเป็นอันดับที่ 2

ทั้งนี้เป็นผลมาจากกลยุทธ์การทำธุรกิจแบบกระจายความเสี่ยง (Well-Diversified Portfolio) ผ่านการมีโรงแรมในเครือที่ตั้งอยู่ในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรและมัลดีฟส์ ซึ่งมีการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวเร็วที่สุดของโลก ทั้งนี้ สิงห์ เอสเตท ยังมองว่า ธุรกิจโรงแรมยังสามารถเติบโตได้อีก หากภาคการท่องเที่ยวและโรงแรมในไทยฟื้นตัวได้เร็วขึ้นในช่วงท้ายของปี 2565 นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาโครงการโรงแรมในเครือที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง

โดยเพิ่มรูปแบบการให้บริการเพื่อกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย เช่น การเพิ่มห้องพักแบบพูลวิลล่าในรีสอร์ทที่ประเทศมัลดีฟส์เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง ตลอดจนการปรับสมดุลพอร์ตผ่านกลยุทธ์หมุนเวียนและต่อยอดการลงทุน (Asset Rotation) ที่จะยกระดับการให้บริการรวมถึงอัตราราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวันสูงขึ้นได้ราว 10-20% ซึ่งคาดว่าโรงแรมในเครือที่มีการปรับปรุงใหม่แล้วเสร็จ จะสามารถสร้างผลกำไรที่เพิ่มขึ้นได้ถึงกว่า 40%

 

ร่วมมือพันธมิตรกระจายความเสี่ยง

นอกจากการขยายธุรกิจแล้ว ในช่วงที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท ได้มีความร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจต่างๆ เพื่อขยายศักยภาพในการลงทุนและการพัฒนาโครงการในทุกพอร์ตธุรกิจ อาทิ การร่วมทุนกับฮ่องกง แลนด์ เพื่อขยายฐานลูกค้าต่างชาติ และพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับอัลติเมทลักชัวรี อย่าง ดิ เอส สุขุมวิท 36 (THE ESSE SUKHUMVIT 36)

หรือการร่วมทุนกับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ อย่าง วาย อีโค เวิลด์ ดีเวลลอปเปอร์ จำกัด (WEWD) เพื่อพัฒนาโครงการรีสอร์ทแห่งใหม่พร้อมวิลล่าหรู 80 หลัง ในนาม โซ/ มัลดีฟส์ (SO/ MALDIVES) ที่จะเติมเต็มรีสอร์ตชั้นนำอีกสองแห่ง สนับสนุนให้โครงการ “ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์” (CROSSROADS MALDIVES) ตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลายได้ในทุกช่วงราคา

นอกจากนี้ สิงห์ เอสเตท ยังวางแผนให้เช่าระยะยาวสำหรับอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกระดับพรีเมียมของบริษัท 3 อาคาร ประกอบด้วย สิงห์ คอมเพล็กซ์, เอส เมโทร และพื้นที่ค้าปลีก ซันทาวเวอร์ส แก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (“SPRIME”) เพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์บริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ ที่จะมีการ Recycle Capital สร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน รองรับการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และจะดันให้ SPRIME ขึ้นแท่นเบอร์ 1 กองทรัสต์ประเภทอาคารสำนักงาน

นอกจากนี้ช่วงปลายปี 2564 สิงห์ เอสเตท ได้เข้าลงทุนในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน โดยถือหุ้น 30% ในบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 1 จำกัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประเภทพลังความร้อนร่วม โดยมีกำลังผลิตอยู่ที่ 123 เมกะวัตต์ และในปี 2565 นี้จะสามารถรับรู้ผลประกอบการของโรงไฟฟ้าเต็มปีเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังได้ร่วมลงทุนกับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 2 จำกัด และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 3 จำกัด เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมอีก 2 แห่ง โดยมีกำลังการผลิตรวม 280 เมกะวัตต์ และจะสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ในปี 2566

 

ตอบโจทย์ความต้องการผ่านการ Synergy

สำหรับวิสัยทัศน์และทิศทางการดำเนินธุรกิจของ สิงห์ เอสเตท ใน 5 ปีนี้ จะพุ่งเป้าไปที่การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร (Synergy) ใน 4 กลุ่มธุรกิจหลักเพื่อสร้างโอกาสและต่อยอดทางธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความแข็งแกร่งกับพอร์ตโฟลิโอของสิงห์ เอสเตท และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในปัจจุบัน

โดยจะสีการผนึกกำลังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร และธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งสิงห์ เอสเตทได้ทำการศึกษาเทรนด์ด้านธุรกิจและวิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไป หลังจากที่ทุกคนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีและสถานการณ์โรคระบาดมากว่า 2 ปี และมองเห็นโอกาสและการสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่จะทำให้สามารถเสริมศักยภาพกับพอร์ตธุรกิจในอนาคต

ขณะเดียวกัน มีการใช้ประโยชน์จาก 4 กลุ่มธุรกิจหลักในการสร้างให้เกิดธุรกิจร่วมเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับพอร์ต และการเติบโตในครั้งนี้ จะเป็นการทำงานร่วมกับพันธมิตรในรูปแบบธุรกิจร่วมทุน ช่วยทำให้เห็นผลสำเร็จแบบวงกว้าง ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่างการมองหาโอกาสในการร่วมมือกับพันธมิตรแขนงต่างๆ เพื่อสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และเสริมสร้างความแตกต่างที่ดีที่สุดให้กับบริษัทฯ ได้ โดยคาดว่าจะผลักดันให้สามารถขยายการเติบโตทางธุรกิจภายใน 5 ปีข้างหน้าเฉลี่ย 25% ต่อปี


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
Gigolo
เมื่อเทคโนโลยีอยู่ใกล้กับชีวิตทุกคน มารู้เท่าทันเทคโนโลยีเพื่อใช้มัน แต่อย่าให้เทคโนโลยีมันใช้เรา