เจาะแผนธุรกิจโรงแรมระดับโลกในเครือ “Singha Estate” ด้วย 4 แพลตฟอร์มที่สร้างโอกาสให้ธุรกิจได้เติบโต

  • 638
  •  
  •  
  •  
  •  

อย่างที่ทราบกันว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก นักท่องเที่ยวทั่วโลกมักจะมีแผนในการเดินทางมาท่องเที่ยวยังภูมิภาคดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้นนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียเองก็มีอัตราเติบโตมากขึ้นและนิยมท่องเที่ยวในประเทศภูมิภาคนี้เช่นกัน นั่นจึงทำให้หลายประเทศกลายเป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทางเที่ยวอย่าง มัลดีฟส์ ฟิจิ หรือแม้แต่ประเทศไทยเอง

นั่นจึงทำให้ธุรกิจโรงแรมได้รับอานิสงส์ของการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นอย่างมาก ซึ่งจุดสำคัญของการทำธุรกิจโรงแรมคือการได้ทำเลที่ดีที่สวยงาม ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาพักมากขึ้น แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้นเพราะคุณเดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ CEO ของ S Hotels & Resorts หรือ SHR บริษัทในเครือสิงห์ เอสเตท จะมาเล่าให้ฟังถึงการทำธุรกิจโรงแรมแบรนด์ไทยที่ไปสู่ระดับโลก

“SHR เราเริ่มมาจากธุรกิจ 3 โรงแรมในประเทศไทยทั้งที่บนเกาะพีพี ที่จังหวัดกระบี่ และบนเกาะสมุย ปัจจุบัน SHR มีโรงแรมทั้งสิ้น 39 แห่งใน 5 ประเทศทั่วโลก สามารถพูดได้ว่า SHR มีการเติบโตสูงสุดในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งเมื่อปีที่แล้วเราเข้าบริหารโรงแรมที่ฟิจิ มอริเชียสและมัลดีฟส์ ซึ่งเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมา”

โดยในวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา SHR ได้ทำการเปิดตัวโครงการ CROSSROADS ที่มัลดีฟส์ ซึ่งประกอบไปด้วย 2 โรงแรมทั้ง SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton และ Hard Rock Hotel Maldives กับ 1 ศูนย์รวมบริการเพื่อการพักผ่อนและบันเทิง the Marina@CROSSROADS ซึ่งเป็นโครงการที่มีการลงทุนมากที่สุด และจะเน้นไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมาพักผ่อน สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวถือเป็นเซ็กเม้นต์กลุ่มใหญ่ที่สุด มีมูลค่าการท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มนี้ทั่วโลกรวมกว่า 8.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

“นักท่องเที่ยวกลุ่มมิลเลนเนียลหรือกลุ่มคนรุ่นใหม่จะเป็นกลุ่มที่ต้องการเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเอง และคนกลุ่มนี้นิยมเดินทางไปท่องเที่ยวมากกว่าการซื้อสินทรัพย์ เช่น บ้านหรือรถยนต์ โดย SHR ตั้งใจมอบประสบการณ์ที่นอกเหนือจากความสนุก โดยเฉพาะการใส่ใจในสิ่งแวดล้อม การได้สัมผัสกับธรรมชาติ การได้อยู่คู่กับชุมชน เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวคนรุ่นใหม่กำลังมองหาการท่องเที่ยวรูปแบบนี้”

เพราะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด SHR จึงต้องมองหาแหล่งท่องเที่ยวที่กลุ่มคนรุ่นใหม่นิยมเดินทางไป และพร้อมที่จะไปลงทุนในพื้นที่เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ฟิจิหรือมัลดีฟส์ โดยเฉพาะประเทศไทย เพราะประเทศไทยถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องการเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่

“ไม่เพียงเท่านี้การวาง Position ของโรงแรมก็มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจของกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะการวางตัวเองให้เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวถึง 4.5 ดาว ซึ่งไม่ใช่โรงแรมราคาถูกระดับ 2-3 ดาว แต่ก็ไม่ใช่โรงแรมสุดหรูหราระดับ 5-6 ดาว เราเชื่อว่าลูกค้าที่เข้ามาพักกับ SHR จะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่าง”

โดยคุณเดิร์กเน้นว่า จุดเด่นอย่างหนึ่งของ SHR คือการเรื่องของคุณภาพที่ได้มาตรฐานระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นการนำแบรนด์ระดับโลกที่เป็นพันธมิตรเข้ามาช่วยเสริมการให้บริการต่างๆ รวมถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมและการทำให้ธุรกิจ SHR สามารถเติบโตไปพร้อมๆ กับชุมชน ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของการสร้างแบรนด์ SHR

“สำหรับพันธมิตรเราจะเลือกให้เหมาะสมกับพื้นที่ รวมไปถึงต้องเหมาะสมกับวิสัยทัศน์และทิศทางการดำเนินงานของ SHR รวมไปถึงการสร้างแบรนด์ของเราเองในการให้บริการ ซึ่งการบริหารงานของ SHR จะแบ่งออกเป็น 4 แพลตฟอร์มด้วยกัน เริ่มจากการสร้างแบรนด์เอง เข้าไปลงทุนและบริหารจัดการเองทั้งหมด”

ขณะที่แพลตฟอร์มที่ 2 จะเป็นในรูปแบบเฟรนไชส์ ซึ่งเป็นการร่วมมือกับพันธมิตรอย่างที่มัลดีฟส์ที่ได้ร่วมกับ Hard Rock ในการให้บริการ และพันธมิตรยังถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อีกด้วย ส่วนแพลตฟอร์มที่ 3 คือการที่เราเป็นเจ้าของเองแต่เปิดให้เชนต่างๆ ของโรงแรมเข้ามาบริหารจัดการ

“แพลตฟอร์มสุดท้ายคือการใช้แบรนด์ของเราเข้าไปบริหารจัดการให้กับโรงแรมอื่น ด้วยการบริหารทั้ง 4 แพลตฟอร์มนี้จะช่วยทำให้เราแตกต่างจากรายอื่น และเป็นการเสริมศักยภาพการแข่งขัน นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างโอกาสในทางธุรกิจที่เราสามารถทำได้ในทุกแพลตฟอร์ม ไม่ได้ถูกจำกัดรูปแบบการบริหารและยังช่วยให้เราสามารถสื่อสารไปยังลูกค้าในระดับสากลได้ง่าย โดยผ่านพันธมิตรทั้งหลาย”

SHR ยังได้ตั้งเป้าภายในปี 2025 จะมีการขยายโรงแรมให้ได้ทั้งสิ้น 80 แห่งทั่วโลก โดยจะมุ่งเน้นไปที่แหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นหลัก หลังจากนั้นจะมองหาแหล่งท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิก เช่น อินโดนีเซีย บาหลี แล้วขยายไปสู่แหล่งท่องเที่ยวในมหาสมุทรอินเดียอย่างฟิจิและมัลดีฟส์ และจะขยายต่อไปถึงชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากแหล่งท่องเที่ยวต่างประเทศ 60% แหล่งท่องเที่ยวไทย 30% และแหล่งท่องเที่ยวบนเกาะอังกฤษอีก 10%

“การที่จะเข้าไปในประเทศใด เราจำเป็นต้องวิเคราะห์ข้อมูลของประเทศนั้นๆ ต้องเข้าใจเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศนั้น ที่สำคัญประเทศนั้นมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจรองรับการท่องเที่ยวกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างไรบ้าง จำนวนของนักท่องเที่ยวก็มีความสำคัญเช่นกัน ซึ่งต้องดูว่าแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเท่าไหร่ และต้องรู้ว่าปัจจุบันมีห้องพักรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวเพียงพอหรือไม่ ตอบโจทย์กับการเติบโตหรือไม่”

คุณเดิร์กยังเล่าว่า เหตุผลที่ต้องมีหลายที่เพื่อให้สามารถกระจายความเสี่ยงไปในหลายๆ ภูมิภาคของโลก ในส่วนของลูกค้าก็จะไม่เน้นเจาะจงเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง การที่มีลูกค้ามาจากหลายประเทศเป็นการกระจายความเสี่ยง เพราะฉะนั้นหากมีประเทศใดประเทศหนึ่งเกิดวิกฤตภาวะทางเศรษฐกิจ ก็สามารถย้ายฐานลูกค้าไปอีกประเทศหนึ่งได้

“เรายังมีความภูมิใจอย่างมากในการสร้างแบรนด์ไทยให้เป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะแบรนด์ SAii เปิดตัวที่แรกที่มัลดีฟส์ ช่วยสร้างประสบการณ์ที่พิเศษมากให้กับนักท่องเที่ยว และมีเป้าหมายในการสร้างแบรนด์ SAii ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล รวมไปถึงการขยายสาขาของ SAii ด้วย โดย SAii ถือเป็นโรงแรมที่มีความสวยงามทุกจุด เหมาะให้กลุ่มนักท่องเที่ยวมิลเลนเนียลได้ถ่ายรูปแล้วแชร์โพสต์ได้ทุกจุดของโรงแรม”

การถ่ายรูปแล้วแชร์โพสต์ต่อไปจะช่วยสร้างการบอกต่อผ่านโลกออนไลน์ โดย SHR มีแผนในการเปิดแบรนด์ SAii ในประเทศไทย แล้วเตรียมแผนขยายแบรนด์ SAii ไปในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยโรงแรม SAii สามารถสร้างได้ถึง 2 รูปแบบ ทั้งแบบที่สร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด หรือการซื้อโรงแรมเก่าแล้วปรับปรุงให้กลายเป็นโรงแรมใหม่

สำหรับโครงการ CROSSROAADS มีการลงทุนไปแล้วกว่า 290 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย SHR มีแผนในการเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุน โดยสิงห์ เอสเตท (Singha Estate) จะยังถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 60% ซึ่งในปี 2018 ที่ผ่านมา SHR สามารถสร้างรายได้ถึง 34% ของสิงห์ เอสเตท

“พฤติกรรมผู้บริโภคถือเป็นสิ่งที่ท้าทายเป้นอย่างยิ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มคนรุ่นใหม่นิยมจองห้องพักก่อนเดินทาง 1-2 วัน เป็นสิ่งที่ยากมากในการบริหารจัดการของโรงแรม นั่นจึงทำให้เราจำเป็นต้องทำให้ระบบการจองของเราง่ายและสะดวก OTAs และการขยายเส้นทางการบินของสายการบิน จะช่วยสร้างโอกาสในการเติบโตของธุรกิจโรงแรม ในการให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงได้ง่ายขึ้น”

นอกจากในเรื่องของการแชร์และโพสต์บนโซเชียลมีเดียแล้ว พนักงานจะทำหน้าที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ในการช่วยโปรโมทให้กับโรงแรม ซึ่งการสื่อสารของ SHR ไปยังกลุ่มเป้าหมายจะเน้นนำเสนอในเรื่องของคุณภาพและการให้บริการ รวมไปถึงให้ความรู้ในเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมและชุมชน ถือเป็นการสื่อสารหลักที่ทุกแบรนด์ในเครือของ SHR จะสื่อสารออกไป

“ส่วนของพนักงานในประเทศไทยจะเป็นบุคลากรไทย 99% ขณะที่ในต่างประเทศก็จะมีสัดส่วนที่แตกต่างออกไป ขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าเป็นกลุ่มเชื้อชาติไหน และเชื้อชาติของพนักงานจะต้องตรงกันกับเชื้อชาติของลูกค้าเพื่อให้การสื่อสารสะดวกมากยิ่งขึ้น หรือบางงานที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น อาหารฝรั่งเศสก็ต้องใช้พ่อครัวชาวฝรั่งเศส เป็นต้น”

เรียกว่า SHR คือโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนด้วยคุณภาพและบริการที่เป็นมาตรฐานระดับสากล รวมไปถึงการสร้างแบรนด์ไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับสากล


  • 638
  •  
  •  
  •  
  •