10 ปีสร้างพื้นที่ป่า 1 ล้านตร.ม.! เปิดบทใหม่ “สิงห์ เอสเตท” สู่องค์กร Carbon Neutrality 2030

  • 474
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเมื่อ สิงห์ เอสเตท ประกาศจับมือพันธมิตรอย่าง สิงห์ปาร์ค สยามคูโบต้า และไทยคม เพื่อ Kick off แคมเปญ “ปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว” ความพิเศษของก้าวนี้คือการตั้งเป้าหมายใหญ่ให้สามารถสร้างพื้นที่สีเขียว ได้เท่ากับพื้นที่ก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตั้งเป้าไว้ที่ 1 ล้านตารางเมตร ภายใน 10 ปี

ภาพใหญ่ภารกิจนี้ คือการขึ้นเป็นองค์กร Carbon Neutrality ในปี 2030 ดังนั้น สิงห์ เอสเตท ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่วางวิสัยทัศน์มุ่งมั่นสร้างคุณค่าและการเติบโตยั่งยืน จึงสร้างสรรค์เป็นโครงการที่หวังลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือภาวะโลกรวน ตามแผนการพัฒนาอย่างยืน SDG13 Climate Change ขององค์การสหประชาชาติอย่างจริงจัง

 

 

เพื่อให้เห็นมุมมองความคิดเรื่องพันธกิจสีเขียวของ สิงห์ เอสเตท บทสัมภาษณ์นี้จะพาทุกคนไปคุยกับ “ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) รวมถึงอีกหลายคนที่เป็นกลไกสำคัญสู่การร่วมมือกับชุมชนในพื้นที่บริเวณสิงห์ปาร์ค จ.เชียงราย ซึ่งจะเป็นพื้นที่หลักของโครงการ ก่อนจะขยายต่อสู่ป่ากลางน้ำหรือป่าในเมือง ทั้งในกรุงเทพมหานคร หรือป่าโกงกางที่เกาะพีพีต่อไป

 

จุดเริ่มต้นของโครงการนี้อยู่ที่ไหน?

ฐิติมาเล่าว่าจากแผนการเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำของสิงห์ เอสเตท ภายในปี 2030 หนึ่งในดัชนีชี้วัดความยั่งยืนด้านการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็คือ ภารกิจการกำหนดให้มีพื้นที่การสร้างพื้นที่สีเขียว ให้เท่ากับพื้นที่ก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น สิงห์ เอสเตทจึงตั้งเป้าไว้กลมๆ ที่ 1 ล้านตารางเมตร ภายใน 10 ปี

“สิงห์ เอสเตท ตระหนักถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งนำมาซึ่งปัญหาภาวะโลกร้อน ภัยภิบัติ และส่งผลกระทบด้านสังคม และชุมชน และเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก บริษัทเล็งเห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจในอนาคต จึงได้มีการเก็บข้อมูลคาร์บอนองค์กรในระยะเวลาที่ผ่านมา และตั้งเป้าสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ รวมทั้งการเพิ่มพื้นที่ดูดซับคาร์บอน หรือการปลูกป่าให้ได้มากที่สุด การสร้างความตระหนักรู้ และส่งต่อความรู้ในการช่วยกันลดคาร์บอนให้กับคนในเมืองผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม”

 

 

อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการปลูกป่าด้วยปลายนิ้วเกิดขึ้นได้ คือการได้รับการสนับสนุนด้านพื้นที่ปลูกป่าจากสิงห์ปาร์ค เชียงราย จำนวน 625 ไร่ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่เชิงเขา และเขตป่ารอยต่อ ที่มีความสำคัญในการสร้างป่าในระยะยาว นอกจากนี้ โครงการยังได้แรงหนุนด้านเทคโนโลยี ในการสำรวจติดตามการเจริญเติบโตของต้นไม้ และปริมาณการดูดซับคาร์บอน จากทางไทยคมมาช่วยตลอดระยะเวลาโครงการ

 

สิงห์ เอสเตทไม่ได้มาคนเดียว

ถัดจากสิงห์ปาร์ค และไทยคม โครงการนี้ยังได้ “สยามคูโบต้า” มาเป็นพันธมิตรที่จะให้นวัตกรรมเข้ามาช่วยให้การปลูกป่าจำนวนมากได้เร็วขึ้น รวมถึงหน่วยงานราชการจากทางจังหวัดเชียงราย และชุมชนในพื้นที่ ซึ่งทำให้ สิงห์ เอสเตท กล้าตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากที่สุด นั่นคืออย่างน้อย จะต้องเพิ่มให้ได้เท่ากับพื้นที่ก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท หรือไม่น้อยกว่า 1 ล้านตารางเมตรในระยะเวลา 10 ปี

“นอกจากนี้ เรามุ่งหวังในการสร้างความตระหนักรู้ให้คนเมืองที่ไม่ได้มีเวลาหรือพื้นที่ในการไปปลูกป่า แต่ก็สามารถช่วยลดคาร์บอนได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน”

ความมุ่งหวังนี้ทำได้จริง เพราะคอนเซ็ปต์ของโครงการนี้คือ การดูแลป่าทำได้ง่าย…ใช้แค่ปลายนิ้ว จุดนี้ “ศิริธร ธำรงนาวาสวัสดิ์” ผู้อำนวยการฝ่ายภาพลักษณ์องค์กร และการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ย้ำว่า สิงห์ เอสเตท วางเป้าหมายให้ทุกคนสามารถช่วยกันลดการปล่อยคาร์บอนในชีวิตประจำวัน จากแคมเปญออนไลน์เมื่อเดือนที่ผ่านมากับ Environman สิงห์ เอสเตทได้ไอเดียลดการปล่อยคาร์บอน หรือการปลูกป่าด้วยปลายนิ้วของผู้ร่วมแคมเปญมามากกว่า 500 ไอเดีย

 

 

 

“ทุกไอเดียที่ส่งเข้ามาร่วมกิจกรรมจะถูกนำไปต่อยอดสร้างกระแสสังคม Low carbon ต่อไป หรือ Enriching Community พร้อมทั้งต่อยอดการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ Life on Land Biodiversity ด้วยการตั้งเป้าโครงการดูแลป่า และเพิ่มพื้นที่ดูดซับคาร์บอนในพื้นที่ทั้ง 3 ป่า ทั้งป่าต้นน้ำ ป่ากลางน้ำหรือป่าในเมือง และป่าปลายน้ำหรือป่าโกงกาง”

เนื่องจาก 3 ป่านี้มีความสำคัญเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน และยังสำคัญต่อการสร้าง Blue Carbon ที่สำคัญ สิงห์ เอสเตท ได้ดำเนินการปลูกป่าบนมาตรฐาน AGI (Asian Green Initiative) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากล มีการประเมินวัดผลการเติบโต และขยายตัวของพื้นที่ป่า รวมถึงต้องเป็นพื้นที่ป่าที่เปิดโอกาสให้ชุมชนรอบข้างเข้ามามีส่วนร่วม และใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน

 

โครงการระยะยาว เบาๆ 10 ปี

สิงห์ เอสเตท ย้ำว่ากิจกรรมร่วมกันปลูกป่าในวันนี้ จะถือเป็นการ kick off การเดินหน้าสร้างพื้นที่สีเขียว 1 ล้านตารางเมตร ในป่าต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อย่างเป็นทางการ และจะยิงยาวต่อเนื่องไปอีกเป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งนำร่อง 625 ไร่บนสิงห์ปาร์คก่อนในเฟสแรก

“พงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย กล่าวว่าสิงห์ปาร์ค คือ Social enterprise ของสิงห์ คอร์เปอเรชั่น และบริษัทในเครือ มีความมุ่งหวังสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นโครงการปลูกป่าด้วยปลายนิ้วนี้ จึงถือเป็นหนึ่งในโครงการของบริษัทในเครือ ทางสิงห์ปาร์คได้จัดพื้นที่ประมาณ 625 ไร่ไว้ให้เป็นพื้นปลูกป่า และพื้นที่ดูแลป่า

 

 

“บริเวณนี้เป็นเขตป่ารอยต่อที่มีความสำคัญ และเป็นแนวป้องกันภัยทางธรรมชาติ ซึ่งถ้ามีการเพิ่มพื้นที่ป่าบริเวณนี้ก็จะยิ่งทำให้เกิดความสมบูรณ์ของป่ามากยิ่งขึ้น และเกิดประโยชน์มากที่สุด”

GM คนเก่งของสิงห์ปาร์ค เชื่อว่าโครงการนี้เปรียบเสมือนการต่อยอดการดูแลป่าของสิงห์ปาร์ค ซึ่งจากมาตรฐานการดูแลและตรวจวัดการเจริญเติบโตของพันธุ์ไม้ ที่เปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วม จะทำให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะบริเวณรอบ ๆ สิงห์ปาร์คมีทั้งชุมชน และกลุ่มชาติพันธุ์อยู่หลากหลาย ถือเป็นโครงการที่ดีที่จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ดูดซับคาร์บอน ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลก

 

ติดตามผลด้วยเทคโนโลยี

“ปฐมภพ สุวรรณศิริ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม มองว่าตลอดระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจของไทยคม บริษัทไม่เพียงมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคงเท่านั้น แต่ยังมีเจตนารมณ์ในการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีอวกาศ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์และต่อยอดบริการ พร้อมสร้างโซลูชันที่สนับสนุนการก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจอวกาศใหม่ หรือ New Space Economy เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศในทุกมิติ

มิติที่ถูกย้ำเป็นพิเศษคือด้านของสิ่งแวดล้อมและภาคเกษตรที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งไทยได้มีส่วนช่วยสนับสนุนการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและสิ่งแวดล้อม รวมถึงระบบนิเวศต่าง ๆ ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีของดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก หรือ Earth Observation ที่มาบูรณาการร่วมกับความเชี่ยวชาญทางด้านแบบจำลอง AI/ML ของทางไทยคมเอง

 

 

“ความร่วมมือกับสิงห์ เอสเตท, สิงห์ปาร์ค และสยามคูโบต้าในครั้งนี้ ทางไทยคมได้นำเทคโนโลยีมาใช้เป็นนวัตกรรมสำหรับการติดตามและตรวจสอบการเติบโต รวมถึงสุขภาพของต้นไม้ โดยเฉพาะในพื้นที่แปลงปลูกป่าขนาดใหญ่ที่ยากต่อการเข้าไปดูแลรักษา เพื่อสนับสนุนการรักษาสมดุลระหว่างการดูดซับก๊าซคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศ มุ่งสู่ความเป็นกลางของคาร์บอนในอนาคต”

“พิษณุ มิลินทานุช” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการทั่วไป สายงานขาย การตลาดและบริการ บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวทิ้วท้ายว่ากิจกรรมครั้งนี้ สยามคูโบต้าได้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตร ได้แก่ รถขุดคูโบต้า ขนาด 3 ตัน รุ่น U35 และรุ่น KX91-3S2 รวมถึงแทรกเตอร์คูโบต้า 50 แรงม้า รุ่น L5018 SP พร้อมเครื่องเจาะหลุม DR550 สำหรับเตรียมหลุมให้เหมาะสมต่อการปลูกต้นกล้าด้วย

ไม่พอ ยังมีโดรนการเกษตร ขนาด 20 ลิตร รุ่น AGRAS T20 สำหรับพ่นปุ๋ยบำรุงหลังการปลูกป่า เพื่อร่วมสนับสนุน โครงการปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว บนพื้นที่ 124 ไร่ โดยความร่วมมือครั้งนี้เองจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทำ Co-Branding ในการผนึกกำลังสร้างสรรค์ “สังคมแห่งความยั่งยืน” พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อน Net Zero Emission ในประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายไปพร้อมกัน

บทสรุปของไอเดียทั้งหมด คือแคมเปญ ปลูกป่าด้วยปลายนิ้วจะไม่เพียงเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ สิงห์ เอสเตท และพันธมิตรปลูกป่าทุกคน แต่ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากโครงการระยะยาว 10 ปี ที่จะมีการติดตาม ตรวจวัด และประเมินผล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด รวมถึงการจัดแคมเปญต่าง ๆ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และปลูกจิตสำนึก ชนิดที่จะเป็นต้นแบบสำหรับธุรกิจในอนาคตได้แน่นอน.

 


  • 474
  •  
  •  
  •  
  •