Siemens Mobility กลไกสำคัญสู่การพัฒนาการขนส่งระบบรางในมหานครอย่างกรุงเทพฯ

  • 473
  •  
  •  
  •  
  •  

 

วันนี้มีโอกาสได้นั่งรถไฟฟ้าผ่านสถานีหัวลำโพง ทำให้นึกย้อนกลับไปถึงระบบขนส่งของประเทศไทยที่ถือได้ว่ามีความโดดเด่นอย่างมากในภูมิภาคอาเซียน และเรียกได้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่มีการขนส่งระบบรางที่ดีที่สุดในสมัยอดีต ความเจริญของการขนส่งระบบรางนั้นส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในภูมิภาคยุคนั้น

 

ตามรอยเส้นทางรางรถไฟ

นับตั้งแต่ในอดีตที่มีการก่อตั้งการรถไฟแห่งประเทศไทยตามพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 5 ที่ต้องการให้การเดินทางของคนไทยสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะระบบรางที่ได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศและถือเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยมากที่สุดจนถึงปัจจุบัน

โดยทางรถไฟสายแรกของประเทศไทยเดินทางเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพมหานครถึงจังหวัดนครราชสีมา จากเดิมที่ต้องใช้ระยะทางเป็นวันๆ ทั้งการเดินทางบกและการเดินทางทางน้ำ แต่การเดินทางด้วยระบบรางช่วยให้สามารถเดินทางได้ภายในหนึ่งวันเท่านั้น นอกจากนี้ยังช่วยให้เศรษฐกิจของทั้ง 2 จังหวัดมีการเติบโตขึ้นอย่างมาก

จวบจนกาลเวลาผ่านมามากกว่า 100 ปี เทคโนโลยีได้เข้ามาพัฒนาการขนส่งในระบบรางเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการขนส่งภายในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ที่มีการยกระดับการขนส่งสู่ระบบรถไฟฟ้า ที่นอกจากจะช่วยให้การเดินทางสะดวกสบาย รวดเร็ว และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยังช่วยให้เกิดความปลอดภัยและมั่นใจทุกการเดินทาง

 

นวัตกรรมระดับโลกสู่ระบบรางไทย

ขณะที่ Siemens Mobility ซึ่งเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมของการขนส่งในระบบรางจากประเทศเยอรมนีที่มีผลงานในการผลิตและติดตั้งผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการขนส่งระบบรางมาแล้วทั่วโลก ที่สั่งสมประสบการณ์มานานกว่า 160 ปี จนสามารถก้าวสู่ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นการขนส่งระบบราง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Siemens Mobility ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยีด้านการขนส่ง

สำหรับในประเทศไทย Siemens Mobility มีส่วนช่วยในการพัฒนาการขนส่งระบบราง โดยเฉพาะระบบรถไฟที่ใช้ขนส่งภายในเมืองหรือที่เรามักเรียกติดปากว่า “รถไฟฟ้า” ซึ่ง Siemens Mobility ได้เป็นผู้นำเทคโนโลยีเกี่ยวกับรถไฟฟ้ามาใช้ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก นั่นคือรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว โดยรถไฟฟ้าสายนี้ได้ทำการออกแบบและติดตั้ง ด้วยเทคโนโลยีของ Siemens Mobility และมีการเปิดใช้ครั้งแรกในปี 2542

 

 

ต่อมาในปี 2547 Siemens Mobility ยังมีส่วนร่วมในการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของกรุงเทพฯ และประเทศไทย หรือที่เรารู้จักกันดีว่า ระบบรถไฟใต้ดิน MRT สายสีน้ำเงิน และต่อมาในปี 2563 ที่รถไฟฟ้าสายนี้ได้ถูกต่อขยายออกไป ก็เป็นเทคโนโลยีจาก Siemens Mobility เช่นกัน

 

 

ในปี 2553 หลังจากสนามบินสุวรรณภูมิเปิดใช้งาน โครงการรถไฟฟ้าเชื่อมสนามบินสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ก็ยังได้รับความไว้วางใจจากการรถไฟแห่งประเทศไทยให้ใช้ระบบรถไฟฟ้าจากซีเมนส์อีกครั้งหนึ่ง

 

 

มองย้อนกลับไปในขณะที่เปิดบริการรถไฟฟ้าบีทีเอสสายแรก ในขณะนั้นประเทศไทยมีบุคคลากรที่มีความรู้เกี่ยวกับการซ่อมบำรุงอย่างจำกัด Siemens Mobility ได้มีส่วนช่วยในการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับการซ่อมบำรุง โดยการนำบุคคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญจากประเทศเยอรมนีเข้ามามีส่วนร่วม และถ่ายทอดความรู้สู่บุคลากรไทย ซึ่ง ณ วันนี้บุคคลากรคนไทยที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงใน Siemens Mobility มีมากถึง 700 ชีวิต โดยบุคลาการเหล่านี้ได้ทำหน้าที่ดูแลระบบซ่อมบำรุงของรถไฟฟ้าสายดังกล่าวทั้งหมด เป็นระยะเวลามากว่า 20 ปี

 

 

ไม่เพียงแต่การนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบรถไฟฟ้าแล้ว Siemens Mobility เองก็ยังมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบรถไฟสายหลักเชื่อมต่อจังหวัดต่างๆ ในประเทศไทยด้วยเช่นกัน นั่นก็คือโครงการรถไฟทางคู่ หรือ Double Track ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)  ซึ่งได้เข้ามาออกแบบและติดตั้งอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคมเพื่อการควบคุมเดินรถ บริเวณช่วงแยกจิระ – ขอนแก่นในปี 2563 เป็นระยะทาง 187ก.ม. โดยได้ นำเอาระบบ ETCS Level1 ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานที่ใช้ในทวีปยุโรป มาใช้ควบคุมการเดินรถไฟแบบอัตโนมัติเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและอันตรายขณะให้บริการ

 

 

นอกจากนี้ยังนำเทคโนโลยีการขนส่งแบบล้อยาง ที่เป็นระบบไฟฟ้ารางเบา (Automated People Mover) มาใช้ขนถ่ายผู้โดยสารระหว่างอาคารผู้โดยสาร ถือเป็นโครงการแรกของประเทศไทยที่นำมาใช้ขนส่งผู้โดยสารภายในสนามบินสุววรณภูมิ ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่และจะเปิดให้ใช้บริการเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเร็วๆนี้

ซึ่งหากสรุปภาพรวม Siemens Mobility ในประเทศไทยตลอดระยะเวลา 20 ปี จะเห็นว่า Siemens Mobility เป็นผู้เชี่ยวชาญระบบการขนส่งทางรางทุกรูปแบบเพื่อช่วยพัฒนาระบบขนส่งทางรางภายในประเทศไทย

 

วิสัยทัศน์การเติบโตอย่างยั่งยืน

เนื่องจาก Siemens Mobility เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยหลายสิบปี ทำให้มองเห็นถึง ความจำเป็นในการปรับปรุงระบบขนส่งในกรุงเทพฯ ที่ถือเป็นหนึ่งในมหานครที่มีการจราจร หนาแน่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะการใช้รถยนต์จำนวนมากซึ่งเป็นปัญหาหลัก ของการจราจรในมหานคร ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสาเหตุหลักของการก่อมลพิษและทำลายสิ่งแวดล้อม

แม้ว่าจะมีการส่งเสริมให้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาอีกพอสมควรกว่าที่การจราจรของกรุงเทพฯ จะสะอาดปราศจากมลพิษ  ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร Siemens Mobility การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นแบบรถไฟฟ้า นอกจากจะช่วยลดปัญหาการจราจรยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

Siemens Mobility ยังให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายในการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์มากที่สุด สอดคล้องกับวิสัยทัศน์แห่งอนาคต Moving Beyond ที่สำคัญ Siemens Mobility ยังมีส่วนพัฒนาและขับเคลื่อนการเดินทางของคนไทยให้ง่ายและสะดวกขึ้น โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบรางอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบด้วยระบบ “Digital Siemens Mobility” รองรับการเดินทางหลายประเภท

 

นวัตกรรมที่ช่วยให้เดินทางสะดวกขึ้น

นอกจากเรื่องของสิ่งแวดล้อมที่ทาง Siemens Mobility ให้ความสำคัญ ยังมีเรื่องของการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้ระบบขนส่งทางรางมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นนวัตกรรม Railigent ซึ่งได้มีการนำ Digital technology การใช้เทคโนโลยี IoT ที่ทำงานร่วมกับ Big Data ผสมผสานความฉลาดของ AI มาใช้ในระบบซ่อมบำรุง ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับระบบรถไฟฟ้าจะถูกตรวจสอบและนอกจากนี้ยังสามารถคาดการณ์ความผิดปกติล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการซ่อมบำรุง ช่วยลดต้นทุนการดูแลรักษามากกว่า 15% และช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 10% เพื่อบรรลุเป้าหมาย 100% ความพร้อมใช้งานของระบบ

ไม่เพียงเท่านี้ เทคโนโลยีที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารจำนวนมากด้วยระยะเวลาอันสั้น อย่างรถไฟความเร็วสูง ของ Siemens Mobility ในปัจจุปันยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 1,374 ตันต่อคันต่อปีและลดปริมาณการใช้พลังงานได้มากถึง30%

การเดินทางแบบไร้รอยต่อถือเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำหรับการขนส่งในอนาคต Siemens Mobility ยังพัฒนา MaaS (Mobility as a Service) โซลูชั่นที่จะช่วยให้การเดินทางสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดย MaaS จะค้นหาข้อเสนอสำหรับการจองตั๋ว รวมไปถึงการวางแผนเส้นทางการเดินทาง ที่สำคัญพฤติกรรมการเดินทางต่าง ๆ จะถูกเก็บไว้ในระบบเพื่อวิเคราะห์หาการเดินทางที่เหมาะสมมากที่สุดในครั้งต่อไป

 

 

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนนึงที่จะเกิดขึ้นเมื่อ Siemens Mobility เข้ามาช่วยดูแลระบบการเดินทางขนส่งให้กับคนไทย ภายใต้การเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่จะช่วยให้มหานครอย่างกรุงเทพฯ สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกสบายรวดเร็วทันใจ ปลอดภัย พร้อมด้วยอากาศสดใสบริสุทธิ์ ให้ทุกชีวิตในกรุงเทพฯ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


  • 473
  •  
  •  
  •  
  •