ลงทุนอาเซียนคืบหน้าตามแผนแต่เวียดนามหอมสุด เอสซีจีเปิดบ้านแถลงผลประกอบการ 2560 รายได้เพิ่มขึ้น 6% เร่ง retrain reskill พนักงานรับ Tech ใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับการค้า รวมทั้งธุรกิจใหม่ๆ ที่จะต้องเดินหน้า โดยเฉพาะดิจิตอลสตาร์ทอัพ
ตัวเลขออกมาเป็นที่น่าพอใจ หลังจากเอสซีจีแถลงผลประกอบการประจำปี 2560 จากผลการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงของตลาด และความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะตลาดทางด้านธูรกิจบริการและ Solution เช่น โลจิสติกส์ ที่ตอบโจทย์ความต้องการตรงจุดและทันเวลา ขณะที่ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ขยายการลงทุนไปอาเซียน รายได้จากภูมิภาค 6 ประเทศเติบโตดีในปีที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันเอสซีจีมีโรงงานปูนซิเมนต์ ที่มีกำลังการผลิตรวมกับในประเทศไทย 33.6 ล้านตันต่อปี
คุณรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี และคุณเชาวลิต เอกบุตร ผู้ช่วยผ็จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน เอสซีจี กล่าวว่า ปีที่แล้วเอสซีจีมีรายได้จากการขาย 450,921 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน โดยมีกำไร 55,041 ล้านบาท ลดลง 2% จากปีก่อน จากผลของการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง
ส่วนรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียนมีกว่า 106,597 ล้านบาท (24% จากยอดขายรวม) เพิ่มขึ้น 9% ส่วนภูมิภาคอื่นมีรายได้ 80,084 ล้านบาท (17% จากยอดขายรวม) เคมีภัณฑ์มีรายได้ 206,280 ล้านบาท ธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้ 175,255 ล้านบาท ซึ่งตลาดภายในประเทศยังซบเซา แต่ต้นทุนสูงขึ้นและสภาพการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ มีรายได้ 81,455 ล้านบาท จากปริมาณขายและราคาที่เพิ่มขึ้นในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ รวมทั้งจากกำลังการผลิตใหม่ในเวียดนาม
“เอสซีจีได้เข้าซื้อหุ้น 68.3% ในบริษํท Interpress Printers ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารฟาสต์ฟูดส์ชั้นนำในมาเลเซีย มูลค่ากิจการอยู่ที่ 104.5 ล้านริงกิต (836 ล้านบาท) อันนี้จะเสริมเรื่องการพัฒนาสินค้าบรรจุภัณฑ์ ให้ตอบสนองไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ผู้บริโภค ที่เปลี่ยนแปลงและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอาเซียน” คุณรุ่งโรจน์กล่าว
ธุรกิจปิโตรเคมีของเอสซีจีเป็นธุรกิจใหญ่ ยอดขายถึงครึ่งหนึ่งของยอดขายรวม มีกำไรถึง 3 ใน 4 แต่มีปัจจัยเสี่ยงคือ ราคาวัตถุดิบที่ผันแปรไปตามราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญ ซึ่งในปีนี้กำหนดอัตราการเติบโตที่ 5-6% จากปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะโครงการปิโตรเคมีที่เวียดนาม กำลังอยู่ในการพูดคุยกับพาร์ทเนอร์ ก่อสร้าง จัดหาแหล่งเงินทุน รวมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวกับกลุ่มพาร์ทเนอร์เวียดนาม ซึ่งอยู่ภายใต้งบลงทุนในภูมิภาคอาเซียนทั้งหมดที่ตั้งไว้ในปีนี้ที่ 60,000 ล้านบาท และทยอยใช้ไป 20,000 ล้านบาทตั้งแต่ปีที่แล้ว ทั้งนี้การศึกษาเพื่อซื้อหุ้นปิโตรเคมีเพิ่มเติม เปอร์เซ็นต์การถือหุ้นสำหรับโครงการปิโตรเคมีที่อินโดนีเซีย น่าจะสรุปได้ราวปลายปีนี้กับพาร์ทเนอร์ที่พูดคุยไว้
“เวียดนามเป็นประเทศที่ค่อนข้างใหม่ ประชากร 90 กว่าล้านคน เยอะกว่าไทยและยังเพิ่มขึ้นอยู่ การบริโภคขยายตัว อุตสาหกรรมก็ไปตั้งกันมากขึ้น คนมีงานทำ ทุกคนมองว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนใน Long Term” คุณรุ่งโรจน์กล่าว
ขยายธุรกิจบริการรับลูกค้าดิจิตอล
ถึงแม้ว่าในปีนี้ยังคงต้องระวังกับความเสี่ยงเรื่องต้นทุนวัตถุดิบปิโตรเคมีและแพคเกจจิ้งที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนพลังงาน ค่าเงินบาทและการแข่งขันที่เข้มข้น เอสซีจียังเตรียมความพร้อมทั้งการขยายธุรกิจบริการ และ Solutions อย่างต่อเนื่อง นำเทคโนโลยี Automation และ Robotich เข้ามาเสริมประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ
“แผนลดคนไม่มี มีแต่เร่ง retrain พนักงานของเราในเรื่องเทคโนโลยี มีการจัดตั้ง Reskill Training Program พัฒนาทักษะพนักงานรองรับความต้องการลูกค้า และขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนไปคือ skill สำหรับคนที่จะเข้ามาใหม่”
เอสซีจีมีความพร้อมขยายธุรกิจไปยังภาคบริการ นำเทคโนโลยี GPS มาต่อยอดเป็น Solutions ใหม่ ในโปรเจ็คการให้บริการรถนักเรียน รถพยาบาล รวมทั้งเอสซีจี เอ็กซ์เพรส ที่ลูกค้าตอบรับมาก จัดส่งพัสดุด่วนทันสมัยเป็นรายเดียวในตลาดที่มีนวตกรรมส่งพัสดุด่วนแบบควบคุมอุณหภูมิ โดยขยายจุดบริการมากกว่า 500 สาขา และจะขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศในปี 2561
นอกจากนี้ยังเข้าไปลงทุนในดิจิตอลสตาร์ทอัพด้านโลจิสติกส์ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงบริการรถขนส่งตามมาตรฐานเอสซีจี ลอจิสติกส์ ที่มีกว่า 7,000 คันทั่วอาเซียนผ่านดิจิตอลแพลตฟอร์มที่สะดวกและรวดเร็ว
“เอสซีจียังพัฒนาด้านนวตกรรมโดยใช้งบประมาณวิจัยและนวตกรรมเกือบ 4,200 ล้านบาท (0.9% ของยอดขายรวม) และยอดขายสินค้า HVA ปีที่แล้วคิดเป็น 175,541 ล้านบาท (39% ของยอดขายรวม) ในส่วนของดิจิตอลสตาร์ทอัพยังเกิดความร่วมมือขึ้นแล้วกว่า 40 โปรเจ็คและมีศักยภาพต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งเรามองเห็นโอกาสเชื่อมโยงกับเครือข่ายสตาร์ทอัพทั้งในอเมริกา จีน รวมทั้งอิสราเอล”
เอสซีจียังได้ประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปี 2560 หุ้นละ 19 บาท คิดเป็นเงิน 22,800 ล้านบาท