แคมเปญใหม่โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ย้ำภาพโรงพยาบาลที่เข้าใจความต้องการของพ่อแม่ เพื่อสุขภาพดีติดตัวไปตลอดชีวิต

  • 5
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ต้องยอมรับว่าวงการสุขภาพในเมืองไทยไม่ได้มีแคมเปญการตลาดที่โดดเด่นให้เราเห็นกันบ่อยครั้ง แต่ล่าสุด ชาวโซเชียลเริ่มผ่านตาแฮชแทค #โตไปไม่ป่วย รวมถึงแชร์วิดีโอชุด “เราอยากเห็นเด็กโตไปสุขภาพดี” ของกลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช ที่ได้ลงทุนทุ่มทุนกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อเปิดตัว “โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล” แห่งใหม่ โดยวิดีโอโปรโมทล่าสุดสามารถสะสมยอดชมทะลุ 3.2 ล้านวิว ภายในระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์

 

 

แคมเปญล่าสุดที่กำลังกลายเป็นไวรัลนี้สร้างสรรค์บนแกนไอเดียที่มีเนื้อหาตรงกับชื่อวิดีโอ นั่นคือ “เราอยากเห็นเด็กโตไปสุขภาพดี” ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่ รพ.เด็กสมิติเวช อินเตอร์ชั่นแนล สามารถส่องโฟกัสความเป็น Smart Hospital บนเป้าหมายที่ รพ.เด็กสมิติเวช อินเตอร์ชั่นแนล มุ่งมั่น คือการทำให้เด็กทุกคนมีสุขภาพดีติดตัวไปตลอดชีวิต

 

 

วิสัยทัศน์ยิ่งใหญ่นี้ไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินเอื้อม เพราะภาพจำเรื่อง Smart Hospital ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ก้าวหน้าทุกมิตินั้นก่อร่างบนฐานความเชี่ยวชาญของทีมกุมารแพทย์มากกว่า 100 ท่าน ซึ่งเสริมให้ รพ.เด็กสมิติเวช อินเตอร์ชั่นแนล มีความแข็งแกร่งทั้งในมิติป้องกันและรักษาโรคยาก ตั้งแต่ทารกแรกเกิด ถึงผู้ป่วยเด็กที่ต้องการรักษาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง บนจำนวนเตียงทั้งหมด 111 เตียง

 

แคมเปญทัชใจ #โตไปไม่ป่วย

เพื่อเล่าเรื่องราวของ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์ชั่นแนล ต้นสังกัดอย่างกลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวชได้เปิดตัววิดีโอใหม่บนยูทูปในชื่อ “เราอยากเห็นเด็กโตไปสุขภาพดี #โตไปไม่ป่วย” ผ่านช่อง Samitivej Hospitals ซึ่งมีผู้ติดตาม 170,000 คน สิ่งที่เกิดขึ้นคือวิดีโอนี้ทัชใจผู้ชมจนมียอดชมทะลุ 3.2 ล้านวิวภายในระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ถึง 19 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

 

ทำไมแคมเปญนี้ถึงได้รับความสนใจมากขนาดนี้?

เราอาจวิเคราะห์ได้ว่าวิดีโอนี้นำเสนอเรื่องราวที่สัมผัสอารมณ์ความรู้สึกของผู้ชมได้ลึกซึ้ง โดยเฉพาะบทสรุปที่ว่า “สุขที่สุดของพ่อแม่ คือ สุขภาพที่ดีในทุกๆ ปี ของลูก” ซึ่งเป็นประโยคสากลที่พ่อแม่ทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา ล้วนเข้าใจและเชื่อมโยงได้ถึงความรักความห่วงใยที่มีต่อลูกหลาน ทำให้โฆษณานี้มี Creative Concept ที่เข้าถึงทั้งชาวต่างชาติและชาวไทย ตอกย้ำภาพแบรนด์รพ.เด็กที่มีความเป็นนานาชาติหรือ International ได้ชัดเจน

 

 

จุดเด่นของวิดีโอนี้อยู่ที่การนำเสนอเรื่องราวจริงของเด็กน้อยที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล อย่างเช่น เด็กหญิงจูเลียวัย 8 ปีที่ผ่านการผ่าตัดโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดได้อย่างปลอดภัย, น้องธีญา ทารกวัย 15 วันที่คลอดก่อนกำหนดแต่สามารถเติบโตสดใสและนอนหลับสบายอารมณ์ และน้องโอรัน หนูน้อยวัย 6 ขวบที่เข้ารับการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแต่ก็ยังมีรอยยิ้มให้พี่พยาบาล

 

 

ความน่าสนใจของวิดีโอนี้อยู่ที่การใช้เพลง Happy Birthday แบบบรรเลงเปียโนประกอบ ที่สามารถสื่อถึงความหวังและความสุขท่ามกลางความท้าทายในการรักษา และจบลงด้วยภาพตัวเลขที่เปลี่ยนจาก 10 ปี เป็น 75 ปี พร้อมข้อความว่า “สุขที่สุดของพ่อแม่ คือ สุขภาพที่ดีในทุกๆ ปี ของลูก” ซึ่งไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาของพ่อแม่ทุกคนที่อยากเห็นลูกเติบโตขึ้นอย่างมีสุขภาพแข็งแรงไปจนถึงวัยชรา แต่ยังเชื่อมกันดีกับความมุ่งมั่นในการทำให้เด็กทุกคนมีสุขภาพดีติดตัวไปตลอดชีวิต

ในมุมการตลาด แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จในแง่ของการสร้าง Emotional Connection กับกลุ่มเป้าหมายซึ่งก็คือพ่อแม่และผู้ปกครอง การนำเสนอเรื่องราวจริงที่สร้างแรงบันดาลใจและความหวัง โดยไม่ได้สปอตไลท์แค่ความเจ็บป่วย สามารถสื่อถึงพลังแห่งการฟื้นตัวและรอยยิ้มของเด็กๆ ที่ได้รับการดูแลอย่างดี ทำให้แคมเปญสื่อสารจุดยืน (Brand Positioning) ของโรงพยาบาลได้อย่างชัดเจนว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูแลสุขภาพเด็กแบบครบวงจร

 

ทุกมิติป้องกัน-รักษาโรคยาก

 

โปรเจ็กต์นี้เกิดเป็นโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ โดยแยกเป็นอาคารเฉพาะความสูง 8 ชั้น รองรับผู้ป่วยได้ 111 เตียง แบ่งเป็น 73 เตียงสำหรับผู้ป่วยใน (IPD Beds), 7 เตียงสำหรับการปลูกถ่ายไขกระดูก (BMT Beds), 12 เตียงในหอผู้ป่วยวิกฤตเด็ก (Pediatric Intensive Care Unit หรือ PICU), 11 เตียงในหอผู้ป่วยกึ่งวิกฤตเด็ก (Pediatric Progressive Care Unit หรือ PPCU), 8 เตียงในหอผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิด (Neonatal Intensive Care Unit หรือ NICU) และ 3 ห้องผ่าตัดเด็ก (Pediatric Operating Center Rooms)

 

 

จุดเด่นแรกคือความเป็น SMART ทุกมิติในการป้องกันและรักษาโรคยาก  มีกุมารแพทย์เฉพาะทางทุกสาขามากกว่า 100 ท่าน ผ่านเทคโนโลยีการนำสเต็มเซลล์จากพ่อแม่ หรือคนในครอบครัวมาใช้ในการปลูกถ่าย   มีโอกาสรอดชีวิตในปีแรกหลังปลูกถ่ายสูงถึง 92%, การดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักเพียง 500 กรัม ให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรง, การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก อย่างกรณีของน้องโอรันที่เราได้ชมในวิดีโอ และ โปรแกรมฟื้นฟูสำหรับเด็กหลังผ่าตัดจากอุบัติเหตุ

 

 

นอกจากการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัยมาใช้ร่วมกับความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง จุดเด่นที่ 2 ยังอยู่ที่การออกแบบโรงพยาบาลเพื่อเด็กโดยเฉพาะ ด้วยมาตรฐานระดับสากล โดยโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความต้องการของเด็กและผู้ปกครองเป็นหลัก (Customer Centric) เพื่อแก้ไข Pain Points ต่างๆ ในการเข้ารับการรักษา

 

 

การตกแต่งภายในมีการใช้รูปทรงโค้งมน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และมีการแยกคัดกรองผู้ป่วยทางเดินหายใจออกจากผู้รับบริการอื่นๆ เพื่อลดการติดเชื้อ

นอกจากนี้ ยังมีระบบควบคุมการหมุนเวียนอากาศที่ดีเพื่อลดการติดเชื้อ และมีหุ่นยนต์ทำความสะอาดที่ช่วยรักษาความสะอาดภายในโรงพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จุดเด่นที่ 3 คือการเป็นโรงพยาบาลเด็กที่ได้รับการยอมรับทั่วภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ข้อมูลระบุว่าโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยมีการร่วมมือกับโรงพยาบาลชั้นนำในต่างประเทศ เช่น Doernbecher Children’s Hospital, Oregon Health & Science University (OHSU) จากสหรัฐอเมริกา และ Takatsuki General Hospital จากประเทศญี่ปุ่น ในการดูแลทารกแรกเกิดและเด็กวิกฤต นอกจากนี้ ยังมีบริการครบวงจรสำหรับผู้ป่วยต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น Teleconsultation, การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศ, บริการล่ามภาษาต่างประเทศ และผู้ช่วยพิเศษที่ดูแลความสะดวกสบายให้ผู้ป่วยและครอบครัวตลอดการรักษา

 

 

ไฮไลท์ทั้งหมดนี้หล่อหลอมให้โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล มีภาพเป็น Smart Hospital ซึ่งส่งให้โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล แตกต่างจากโรงพยาบาลอื่นๆ โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อยกระดับการบริการให้มีความสะดวกสบายและความล้ำสมัยที่เหนือความคาดหมาย ตอบโจทย์พ่อแม่ที่อยากให้ลูกโตไปสุขภาพดี #โตไปไม่ป่วย

 


  • 5
  •  
  •  
  •  
  •