ปัจจุบันเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่อุตสาหกรรม OTT หรือ “แพลทฟอร์มรับชมคอนเทนต์วิดีโอผ่านอินเตอร์เน็ต” ในประเทศไทยกำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จากข้อมูลของ Statista คาดว่าในปี 2024 นี้เม็ดเงินจะมีมูลค่าทะลุ 30,000 ล้านบาทเลยทีเดียว ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะพฤติกรรมการรับชมความบันเทิงด้วยทีวีแบบเดิม (Linear TV) ได้เปลี่ยนแปลงไปสู่การรับชมความบันเทิงจากแพลทฟอร์ม OTT บน Connected TV (CTV) แล้ว สิ่งนี้กลายเป็นอีกหนึ่งโอกาสของนักการตลาดที่ไม่อาจมองข้าม เพราะ CTV และ OTT จะเป็นอีกช่องทางการสื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพไม่แพ้โฆษณาช่องทางดิจิทัลอื่นๆเลยทีเดียว
ล่าสุดเพื่อให้นักโฆษณาและนักการตลาดเข้าใจถึง Landscape ของอุตสาหกรรม CTV และ OTT และสามารถนำช่องทางนี้เข้าไปอยู่ใน Media Plan ของแคมเปญทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ PubMatic ผู้ให้บริการด้าน Digital Advertising ระดับโลกจึงจัดงานสัมมนาในชื่อ Unlocking the Power of CTV & OTT Advertising ขึ้นในประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา และงานนี้ก็ทำให้ได้เห็นโอกาสในการโฆษณากับสื่อ “คอนเทนต์วิดีโอ” รูปแบบใหม่นี้ได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงได้รู้จักกับโซลูชั่น Programmatic ที่สามารถใช้ทำแคมเปญโฆษณาไปสู่ CTV และ OTT หลายๆแพลทฟอร์มได้พร้อมๆกัน ซึ่ง Marketing Oops! จะสรุปให้อ่านกันแบบเข้าใจง่ายๆในบทความนี้
CTV และ OTT คืออะไร?
ก่อนจะเข้าสู่โลกของการโฆษณามาทำความเข้าใจความหมายของ CTV และ OTT กันก่อน โดย “OTT” ย่อมาจาก Over-The-Top เป็น “รูปแบบการส่ง” คอนเทนต์วิดีโอที่มีคุณภาพสูงผ่าน “อินเตอร์เน็ต” ตรงถึงผู้ชมโดยไม่ต้องผ่านช่องทางที่มีตัวกลางแบบเดิมเช่นดาวเทียม สายเคเบิล หรือเสาอากาศ โดยสามารถเข้าชมคอนเทนต์ผ่าน แอปพลิเคชั่น เว็บไซต์ หรืออุปกรณ์ที่ต่ออินเตอร์เน็ตได้เช่นแลปท็อป สมาร์ทโฟน แทบเล็ต เกมคอนโซล กล่องแอนดรอยด์ หรือ กล่องแอปเปิลทีวี ส่วนตัวอย่างแพลทฟอร์ม OTT ก็เช่น Netflix, Disney+, YouTube รวมถึงที่นิยมในไทยก็เช่น TrueID, WeTv, iQIYI, CH3 Plus, OneD เป็นต้น
ส่วน CTV หมายถึง Connected TV หรือสมาร์ททีวีที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตที่ทำให้เราสามารถชมคอนเทนต์ทั้งภาพยนต์ ซีรีย์ สารคดีที่มีคุณภาพจากแพลทฟอร์ม OTT ได้ผ่านหน้าจอขนาดใหญ่ในห้องนั่งเล่น พฤติกรรมของผู้คนที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับอุตสาหกรรมสมาร์ททีวีที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จุดนี้เองได้กลายมาเป็นที่เป็นพื้นที่ซึ่งนักโฆษณาและนักการตลาดสามารถเข้าไปถึงได้ และด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันก็สามารถทำได้มีประสิทธิภาพมากกว่าทีวีในยุคเดิมด้วย
ผู้ชมที่ยินดีดูโฆษณาโมเดล (A-VOD) เติบโต
คำถามเกิดขึ้นตามมาแน่นอนว่าแพลทฟอร์ม OTT ส่วนใหญ่ในเวลานี้มีโมเดล Subscription แบบไม่มีโฆษณาให้เลือกแล้วสิ่งนี้จะเป็นโอกาสสำหรับนักโฆษณาได้อย่างไร? เรื่องนี้คุณ Genelle Hung ตำแหน่ง Country Manager ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ PubMatic บอกว่า แม้หลายๆ คนจะยอมจ่ายเงินเข้าสู่โมเดลแบบไม่มีโฆษณาหรือ Subscription-Based Video on Demand (S-VOD) แต่ก็ยังมีอีกจำนวนมากที่เลือกจะดูแบบมีโฆษณาหรือ Advertising-Based Video on Demand (A-VOD) ด้วยหลายๆเหตุผลเช่น ราคา Subscription แต่ละแพลทฟอร์มไม่ได้มีราคาถูก นอกจากนี้ยังมีแพลทฟอร์มที่มีอยู่หลากหลายทำให้มีน้อยคนที่จะลงทุนจ่ายเงินเข้าสู่ทุกๆ แพลทฟอร์มได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างทุกวันนี้
คุณ Genelle ก็ระบุด้วยว่า ทุกวันนี้แพลทฟอร์มใหญ่ๆ ก็หันมาสู่โมเดลแบบมีโฆษณาหรือ (A-VOD) แล้วไม่ว่าจะเป็น Disney+, Netflix หรือ Prime Video โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีแพลทฟอร์มที่หลากหลายแตกแขนงออกไปอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น TrueID, iQIYI, WeTV, viu, Bagaboo TV, OneD, CH3 Plus และอื่นๆ อีกมากมาย ในขณะที่เกิดกระแสคอนเทนต์ที่ผู้คนติดตามเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น ซีรีย์เกาหลี ซีรีย์จีน ละครสายวายหรือ Boy Love ที่ดังระดับโลกเป็นต้น
ด้าน คุณ ธัญพิชชา ตั้งจิตเจริญ ตัวแทนจาก WeTV ประเทศไทยเล่าให้ฟังด้วยเช่นกันว่าปัจจุบันเทรนด์การรับชมคอนเทนต์ WeTV ผ่านสมาร์ททีวีก็กำลังเติบโตขึ้นโดยเฉพาะโมเดล A-VOD ที่กำลังได้รับความนิยมโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างกลุ่ม Millennials ที่มีสัดส่วนถึง 94% ที่พร้อมเปิดดูโฆษณาอย่างน้อย 2 ตัวเพื่อแลกกับคอนเทนต์ฟรี ดังนั้น OTT จึงเป็นอีกช่องทางที่จะเข้าถึงคนกลุ่มนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณธัญพิชชา ระบุด้วยว่า แม้ WeTV จะมีสัดส่วนผู้ชมผ่านแอปในสมาร์ททีวีเพียง 14% แต่ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยในปีนี้มีจำนวนคนที่รับชม WeTV ผ่านสมาร์ททีวีเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 30% ด้วย
OTT กับผลลัพธ์โฆษณาที่เหนือกว่า
“คอนเทนต์พรีเมียม” ที่ส่งถึงผู้ชมผ่านผู้ให้บริการ OTT ให้คนรับชมด้วย CTV เหล่านี้คุณ Genelle บอกว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการลงโฆษณากับคอนเทนต์ที่ Creator ผลิตเองหรือที่เรียกว่า User Generated Content (UGC) ในโซเชียลมีเดียยแพลทฟอร์มต่างๆ เพราะแม้จะมีต้นทุนที่ถูกกว่าส่งถึงผู้คนได้จำนวนมากแต่ ประสิทธิภาพของการสื่อสารผ่านโฆษณาไม่สามารถเทียบเท่ากับการโฆษณากับพรีเมียมคอนเทนต์ ที่อยู่ในบรรยากาศแบบพรีเมียมของการนั่งชมทีวีจอใหญ่ในห้องนั่งเล่นได้
แน่นอนว่าคุณ Genelle มีข้อมูลสนับสนุนเป็นผลสำรวจความคิดเห็นผู้ชมที่มองว่าคอนเทนต์พรีเมียมผ่านทาง OTT นั้นน่าดูกว่าคอนเทนต์โซเชียลและทีวีปกติ โดย 65% มองว่าคอนเทนต์ OTT มีคุณภาพดีกว่าและที่สำคัญ 70% ของผู้ใช้งานพรีเมียม OTT ไม่ได้มองว่าโฆษณาในแพลทฟอร์มน่ารำคาญแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังมีผลสำรวจที่พบด้วยว่าในแง่ของ Engagement โฆษณาที่มีกับคอนเทนต์วิดีโอพรีเมียมใน OTT ยังมีระดับการมมีส่วนร่วมหรือ Engagemetn ที่มากกว่าคอนเทนต์ UGC ด้วยโดยเฉพาะในโฆษณาความยาว 30 วินาที OTT มี Engagement ในระดับสูงถึง 48% เทียบกับคอนเทนต์ UGC ที่ผู้ชมมี Engagement แค่ 14% เท่านั้น
เทคโนโลยีโฆษณา OTT ที่ยกระดับมากยิ่งขึ้น
ประโยชน์ที่จะตกสู่นักโฆษณาและนักการตลาดไม่ได้มาจากเทรนด์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่จะมานั่งชม OTT ผ่าน CTV หรือสมาร์ททีวีกันมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของ “เทคโนโลยี” ที่จะยกระดับประสิทธิภาพการโฆษณาให้ดียิ่งขึ้นไปอีกด้วยเช่น การยิงโฆษณาสู่กลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง ตามความชื่นชอบ พฤติกรรม สถานที่ หรือแม้กระทั่งสิ่งแวดล้อม สามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมกับโฆษณาของผู้ชมได้มากยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเทคโนโลยีของ Wootag บริษัทที่ให้มีเทคโนโลยีที่ทำให้โฆษณาใน CTV ดึงความสนใจของผู้ชมได้มากยิ่งขึ้น โดยคุณ Raj Sunder ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Wootag ก็เล่าให้ฟังเช่นกันว่าด้วยเทคโนโลยี CTV ในปัจจุบันทำให้โฆษณาที่มาพร้อมกับคอนเทนต์ OTT มีความสามารถหลากหลาย
เช่น ในการถ่ายทอดสดฟุตบอล เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถแสดงผลโฆษณา “เครื่องดื่มเลือกแร่” ให้ยิงไปในรูปแบบที่แตกต่างกันตามจังหวะเหตุการณ์ในสนามได้ เช่น ยิงประตูได้ ใบเหลือ หรือใบแดง เป็นต้น
หรือจะเป็น โฆษณา “ยาสระผมสูตรเย็น” ที่จะยิงไปสู่หน้าจอทีวีในช่วงเวลากลางวันที่อุณภูมิสูงเกิน 30 องศา หรือแม้แต่ การยิงโฆษณา “ถ่านไฟฉาย” ไปยังสมาร์ททีวี ที่ถ่านในรีโมทคอนโทรลกำลังใกล้หมดก็ยังทำได้ รวมไปถึงความสามารถอื่นๆ อีกมากเช่น
- โฆษณาที่กระตุ้นให้ผู้ชมมีส่วนร่วมสามารถแสกน QR โค้ดไป Landing Page ได้ทันที
- โฆษณาที่ยิงให้ผู้ชมเฉพาะในบางพื้นที่เชื่อมโยงกับโฆษณาได้มากขึ้น
- โฆษณาที่สามารถแบ่งกลุ่มทำ A/B Testing กับโฆษณาต่างรูปแบบกันได้
- โฆษณาที่สามารถยิงไปให้แสดงผลแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลาของวัน
- โฆษณาที่สร้างขึ้นจากรูปแบบเดียวแปลงเป็น 3,700 รูปแบบที่ต่างกันด้วยพลังของ AI
TrueID กับ Use Case โฆษณาเจาะจงพื้นที่
คุณ David Alexander Sky จาก True Digital ก็มาเล่าถึง Use Case ในการใช้เทคโนโลยีโฆษณาแบบเจาะจงพื้นที่ (Addressable TV) ในบริการ TrueID ที่ได้ผลจริงมาแล้ว โดยลูกค้าเป็นแบรนด์รถยนต์ที่ต้องการโปรโมทรถยนต์รถรุ่นใหม่ 2 รุ่นพร้อมๆ กัน รุ่นหนึ่งเป็น “รถกระบะ” ส่วนอีกรุ่นเป็น“รถเอสยูวี” สำหรับครอบครัว
แบรนด์รถยนต์แบรนด์นี้เลือกที่จะใช้โฆษณายิงตรงไปยังหน้าจอสมาร์ททีวีสู่ผู้ชมที่ใช้แพลทฟอร์ม TrueID โดยแยกโฆษณาเป็น 2 รูปแบบส่งตรงไปยัง 2 กลุ่มเป้าหมายตามพื้นที่รับชม โดยโฆษณา “รถกระบะ” แบรนด์มีกลุ่มเป้าหมายเป็นโซนต่างจังหวัด กลุ่มผู้ใช้แรงงาน อุตสาหกรรมก่อสร้าง ในขณะที่ “รถเอสยูวี” รถอเนกประสงค์สำหรับครอบครัวมีกลุ่มเป้าหมายเป็น คนทำงานในสำนักงาน โซนเมือง กลุ่มครอบครัว
ผลลัพธ์จากการยิงโฆษณารูปแบบนี้คุณ David ระบุว่าสร้างความพึงพอใจให้กับแบรนด์โดยมี Completion Rate สูงถึง 99% และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากถึง 90% เลยทีเดียว และแน่นอนว่าการที่สามารถทำ Segmentation ได้ 2 กลุ่มอย่างชัดเจน True Digital ใช้ข้อมูลพฤติกรรมผู้ชม รวมไปถึงข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งและข้อมูลจากบริษัทโทรคมนาคมมาช่วยทำให้สามารถยิงโฆษณาไปได้แม่นยำมากขึ้น
คุณ David มองอนาคตของ Addressable TV ไว้ด้วยว่าในอนาคตหากสามารถเจาะจงพื้นที่แคบลงในระดับรหัสไปรษณีย์ก็อาจสามารถยิงโฆษณาที่แตกต่างกันไปตามพื้นที่ให้สามารถสแกน QR Code เพื่อจองคิวทดลองขับรถยนต์รุ่นใหม่กับโชว์รูมที่แตกต่างกันได้เลยด้วย
WeTV กับหลากหลาย Ads Placement
ในมุมของ Publisher อย่าง WeTV เองก็เป็นอีกช่องทางสื่อสารของนักโฆษณาและนักการตลาดได้เช่นกัน โดยคุณ ธัญพิชชา ก็เล่าว่า WeTV เป็นแอปพลิเคชั่นระดับโลกที่ให้บริการอยู่ใน 173 ประเทศมียอดดาวน์โหลดมากกว่า 200 ล้านครั้ง ส่วนในประเทศไทยมี Active User ราว 13 ถึง 15 ล้านคน มีจุดเด่นที่ “ซีรีย์จีน” ที่มีสัดส่วนมากที่สุด รองลงมาคือละครไทย และอนิเมชัน
สำหรับความน่าสนใจของ WeTV สำหรับนักโฆษณาก็คือ การที่จะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากถึง 15 ล้านคนโดยในจำนวนนี้ 44% เป็นกลุ่มคน Gen Z และ Millennials ที่ชมคอนเทนต์มากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน และในจำนวนผู้ชมทั้งหมดส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม ผู้หญิงมากถึง 70%
สำหรับ WeTV มี Ads Placement ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น Pre-Roll ก่อนเข้าคอนเทนต์ Mid-Roll ระหว่างคอนเทนต์ Brand Logo โชว์ระหว่างเล่นคอนเทนต์แถบโฆษณาตัวอย่างตอนต่อไปหรือ Next EP เช่นกัน โดยโฆษณาจะมีพื้นที่ให้ตั้งแต่ 6, 15 และ 30 วินาที โดยรวมแล้วสามารถมีโฆษณาได้มากถึง 90 วินาทีต่อคอนเทนต์ 1 EP
ทั้งหมดนี้ยังไม่นับรวมถึงการ Tie-In สินค้าใน Original Content ของ WeTV ที่ในไทยมีแล้วมากถึง 56 เรื่องในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา รวมไปถึงกิจกรรมการตลาดที่สามารถทำได้ทั้งในการออนแอร์และออนกราวด์ เป็นต้น
Total Video โซลูชั่นโฆษณา OTT ที่รวมไว้ในแพลทฟอร์มเดียว
เทคโนโลยีที่ก้าวไปอีกขั้นสำหรับการโฆษณาบน CTV และ OTT ก็คือโซลูชั่นที่เรียกว่า Total Video Inventory โซลูชั่นสำหรับการสร้างแคมเปญบน CTV, OTT รวมถึง OLV หรือวิดีโอออนไลน์ระดับพรีเมียมที่มีอยู่อย่างหลากหลายในเวลานี้โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีผู้ให้บริการมากมายหลายเจ้าซึ่งคุณ Genelle Hung จาก PubMatic เจ้าของแพลทฟอร์ม บอกว่า Total Video Inventory ของ PubMatic จะช่วยให้ผู้ยิงโฆษณาสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านการสร้างแคมเปญกับคอนเทนต์บน CTV, OTT และ OLV ระดับพรีเมียมผ่านแพลทฟอร์มวิดีโอเหล่านี้ได้ทันทีไม่ว่ากลุ่มเป้าหมายจะชมคอนเทนต์ที่ไหนหรือเมื่อไหร่ และทั้งหมดนี้ทำได้บนบริการที่มีชื่อว่า Activate หนึ่งในวิธีการซื้อโฆษณาผ่าน Total Video Inventory ของ PubMatic นั่นเอง
แพลทฟอร์มนี้เป็นแพลทฟอร์ม Programmatic ที่เชื่อมโยงลูกค้าที่ต้องการลงโฆษณาเข้ากับ Premium Inventory ที่ PubMatic คัดสรรมาจาก Publisher คุณภาพในประเทศไทยที่ปัจจุบันนี้ก็มีอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็น TrueID, Bagaboo, OneD, CH3 Plus, WeTV, viu รวมถึง iQIYI ลดความยุ่งยากจากการต่อต่อสื่อสารและช่วยลดขั้นตอนตลอด work flow และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแคมเปญได้
คุณ Genelle ระบุว่าประโยชน์ที่นักการตลาดจะได้รับจากโซลูชั่น Total Vedeo ก็คือ สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายระดับ High-Value ที่ตรงตามเป้าหมายและพื้นที่ได้ ลดความยุ่งยากในการบริหารจัดการแคมเปญจากหลายแพลทฟอร์มวิดีโอเอาไว้ในแพลทฟอร์มเดียว สามารถเชื่อมโยง First-Party Data จากนักการตลาดได้อย่างง่ายดายเพื่อยิงตรงถึงกลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำมากขึ้นได้
ซื้อโฆษณา CTV & OTT ผ่าน Programatic ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ
นอกจากนี้ในงานสัมมนายังเปิดให้เห็นมุมของกรลงมือทำจริงโดยมีตัวแทนจาก 2 Agency และอีกหนึ่งผู้ให้บริการ OTT อย่าง iQIYI มาให้มุมมองเกี่ยวกับเทรนด์โฆษณาใน CTV และ OTT ด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็นคุณ เบน เชวงศักดิ์สงคราม จาก Omnicom Media Group คุณ สุรัตยา ขำประดิษ จาก Kinesso (Thailand) ในเครือ IPG และคุณ ผ่านศึก ธงรบ ผู้อำนวยการ iQIYI (อ้ายฉีอี้) ประจำประเทศไทย โดยทั้งสามคนต่างเห็นตรงกันว่า เทรนด์ตลาด CTV และ OTT เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่ของเม็ดเงินลงทุนโฆษณา จำนวนคอนเทนต์ที่ที่น่าสนใจที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงย้ำถึงประโยชน์ ของ CTV และ OTT ในเรื่องของการสื่อสารได้ถึงกลุ่มเป้าหมายได้
ด้านคุณ สุรัตยา เล่าถึงการยิงโฆษณาให้ถึงกลุ่มเป้าหมายใน CTV & OTT ด้วยว่า Kinesso มีการใช้รูปแบบการซื้อสื่ออัตโนมัติ หรือ Programmatic บริหาร แคมเปญ CTV และ OTT ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้ Audience Data ที่หลากหลาย มีการให้ระบบจัดสรรงบไปยังโฆษณาแต่ละจุดที่กลุ่มเป้าหมายอยู่โดยอัตโนมัติ ทำให้ตอบโจทย์ทั้งผู้ชมและเนื้อหา content ในขณะที่คุณเบน ระบุว่ามีการใช้ข้อมูลจากแพลทฟอร์ม OTT แยกกลุ่มเป้าหมายความสนใจตามคอนเทนต์รูปแบบต่างๆมาปรับใช้ในแคมเปญด้วย
ด้าน คุณผ่านศึก จาก iQIYI แอปพลิเคชันที่มียอดผู้ใช้งานเติบโตเร็วที่สุดในเอเชียด้วยจำนวนผู้ชมมากกว่า 600 ล้านคนต่อเดือนมีสมาชิกหรือ VIP สูงทะลุ 100 ล้านคน ในขณะที่ประเทศไทยมีผู้ใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ใน iQIYI International กล่าวเสริมเสริมในมุมของแพลทฟอร์มต่อเรื่องการโฆษณาบนแอปพลิเคชันอาไว้ด้วยว่า iQIYI จะมีการแยกกลุ่มเป้าหมายผู้ชมที่แตกต่างกันผ่านโปรไฟล์ผู้ใช้งาน เช่น อายุ เพศ และภาษา ร่วมกับข้อมูลความสนใจตามเนื้อหารายการของผู้ชมที่มีความเฉพาะเจาะจง เพื่อให้โฆษณาทำงานได้เต็มศักยภาพ และ iQIYI ยังมุ่งสร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับยิ่งขึ้นด้วยการกำหนดช่วงเวลาการแสดงโฆษณาตามพฤติกรรมการรับชมของกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำพร้อมด้วยรูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย มีประสิทธิผลระดับสูง สามารถมองเห็นได้แบบ 3D ซึ่งจะไม่ได้เป็นเพียงการแสดงสินค้าและบริการเท่านั้นแต่ยังเป็นการสร้างประสบการณ์การมองเห็นที่ทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้นตลอดการรับชมโฆษณาบนแอปพลิเคชัน
Programmatic วัดผลได้ดีกว่าและยกระดับ ROI
ด้านคุณ นวรัณ วัชรพล ตัวแทนจากเอเจนซี่ใหญ่อย่าง dentsu เองก็มาร่วมพูดคุย เทรนด์ตลาด CTV และ OTT ที่เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน นอกจากนี้ยังเล่าถึงการทำแคมเปญบน CTV และ OTT ด้วย Programmatic ด้วยว่า วิธีการนี้มีประโยชน์ในเรื่องของการวัดผลได้ละเอียดมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็น Impression, Click หรือ Engagement เป็นการทำแคมเปญด้วย Data ที่ทำให้สามารถจัดสรรงบได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำให้ Return of Investment (ROI) อยู่ในระดับสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนี้ในระยะยาวแล้วแคมเปญบน CTV ยังให้ประสิทธิภาพเทียบกับต้นทุนที่ดีกว่าด้วย
คุณนวรัณ ปิดท้ายงานสัมมนาด้วยการมองไปถึงสิ่งที่น่าตื่นเต้นในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นในอีก 1 ปีข้างหน้านี้ว่า โฆษณาบน CTV อาจจะก้าวไปสู่การสร้าง Conversion ในแคมเปญให้สูงขึ้นได้ผลจากความสามารถในการสื่อสารสู่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ รวมไปถึงความสามารถในการทำ Segmentation หรือการแบ่งกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นด้วยพลังของ AI ที่ล้ำหน้ามากขึ้นในปัจจุบัน เช่นเดียวกับการยิงโฆษณาสู่กลุ่มเป้าหมายตามพื้นที่หรือ Addressability ที่จะมีความสำคัญมากขึ้นโดยเฉพาะในยุคที่ไม่มี Cookies อีกต่อไปนั่นเอง