เจาะลึกโมเดลธุรกิจ “อินโนบิก” ลุยตลาด Life Science รับเมกะเทรนด์ “สังคมสูงอายุ-ดูแลสุขภาพ” สร้าง New S-curve เศรษฐกิจไทย

  • 23
  •  
  •  
  •  
  •  

 

เวลานี้ Megatrend ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย คือ “สังคมผู้สูงอายุ”หรือ Silver Gen” เป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลงด้านประชากร เมื่ออัตราการเกิดลดลง ในขณะที่อัตราผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น และเทรนด์ “การดูแลสุภาพ” ที่กำลังเติบโต เนื่องจากคนตระหนักถึงสุขภาพมากขึ้น ประกอบกับความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยา และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ ช่วยให้คนมีอายุยืนยาวขึ้น หรือ Longevity และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งสอดล้องกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุ

จาก Megatrend ของโลกทั้งสังคมผู้สูงอายุ และผู้คนมีความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพมากขึ้น “ปตท.” เล็งเห็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจ Life Science” หรือ “วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต” จึงได้จัดตั้ง “บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด” หรือ อินโนบิก

ด้วย Purpose-driven ต้องการขับเคลื่อนธุรกิจ Life Science ของประเทศไทยให้เติบโต ผ่าน 3 เสาหลักคือ ธุรกิจยา (Pharmaceutical) ธุรกิจเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Medical Technology) และธุรกิจโภชนาการเพื่อสุขภาพ (Nutrition)

 

ปี 2050 ประชากร 60 ปีเพิ่มขึ้นเป็น 2.1 พันล้านคนทั่วโลก – ผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพทั้งกาย-ใจ

ก่อนจะพาไปรู้จักอินโนบิกมากขึ้น เราอยากชวนมาเจาะ Megatrend ของโลก 2 เทรนด์สำคัญ นั่นคือ “สังคมสูงอายุ” และ “การดูแลสุขภาพ”

WHO รายงานว่าประชากรทั่วโลกมีแนวโน้มอายุยืนขึ้น โดยภายในปี 2030 ประชากร 1 ใน 6 ของโลก จะมีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยจะเพิ่มขึ้นจาก 1,000 ล้านคนในปี 2020 เป็น 1,400 ล้านคน

นอกจากนี้คาดการณ์ว่าในปี 2050 ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หรือประมาณ 2,100 ล้านคน และคาดว่าประชากรอายุ 80 ปีขึ้นไป จะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าระหว่างปี 2020 ถึง 2050 ซึ่งจะอยู่ที่ราว 426 ล้านคน (อ้างอิงข้อมูล: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/ageing-and-health)

การเพิ่มขึ้นของสังคมผู้สูงอายุในไทย มาพร้อมกับการตระหนักถึงการดูแลสุขภาพ ซึ่งทุกวันนี้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพตั้งแต่อายุยังน้อยมากขึ้น ประกอบกับปัจจุบันมีการพบโรคภัยใหม่ การเผชิญปัญหามลภาวะ และปัญหาค่าใช้จ่ายเพื่อสุขภาพสูงขึ้น  ยิ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้คนไทยให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น

รายงานจาก Ipsos บริษัทวิจัยระดับโลก เผยถึง 9 เทรนด์โลก หนึ่งในนั้นคือ การสร้างสุขภาพที่ดีอย่างมีจิตสำนึก (Conscientious Health) ซึ่งหมายถึงสุขภาพ ไม่ใช่แค่ร่างกายแข็งแรง แต่ยังเป็นทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ยิ่งปัจจุบันสามารถหาข้อมูลการดูแลสุขภาพได้มากขึ้น ผู้บริโภคยิ่งมองว่าตัวเขาเองมีสิทธิ์ที่จะดูแลสุขภาพที่ดีได้ (อ้างอิงข้อมูล: https://www.marketingoops.com/reports/ipsos-global-trends-2024/)

 

เปิดเหตุผลทำไม ปตท. ลุยธุรกิจ Life Science

เมื่อเอ่ยชื่อ ปตท. คนส่วนใหญ่มักนึกถึงการเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ แต่นอกจากเดินหน้าสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ ““TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD” แล้ว อีกหนึ่งบทบาทของ ปตท. คือ แสวงหาการเติบโตในธุรกิจที่จะเป็น New S-curve ให้กับ กลุ่ม ปตท. และประเทศ ซึ่งต้องสอดคล้องกับ Global Megatrends และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างเช่น ธุรกิจ Life Science” หรือวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต เช่น ยา อาหาร ฟิวเจอร์ฟู้ด อุปกรณ์และวัสดุทางการแพทย์ ตอบรับแนวโน้มประเทศไทยในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น

ประกอบกับการศึกษาอุตสาหกรรมอนาคตของประเทศไทย ภาครัฐก็มองว่าธุรกิจ Life Science จะเป็นอุตสาหกรรมที่ช่วยผลักดันศักยภาพเศรษฐกิจไทยให้เติบโต ด้วยการพัฒนาและนำเทคโนโลยี-นวัตกรรมขั้นสูงเข้ามาต่อยอดภาคธุรกิจ

ด้วยเหตุนี้เอง ปตท. จึงได้จัดตั้ง “บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด” เมื่อปี 2563 เพื่อดำเนินธุรกิจ Life Science วางเป้าการเป็นบริษัทชั้นนำด้าน Life Science ในภูมิภาค ด้วยนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์อันเป็นเลิศ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี โดยดำเนินธุรกิจใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ธุรกิจยา (Pharmaceutical) ธุรกิจเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Medical Technology) และ ธุรกิจโภชนาการเพื่อสุขภาพ (Nutrition) โดยเชื่อว่าทั้ง 3 เสาหลักจะเสริมสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุขของประเทศไทย และคนไทย ตลอดจนช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ และผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพ

คราวนี้มาเจาะลึกแต่ละกลุ่มธุรกิจของอินโนบิกกันว่ามี Business Movement ที่น่าสนใจอะไรบ้าง ?!?

 

“ธุรกิจยา” (Pharmaceutical) สร้างความร่วมมือบริษัทยาชั้นนำระดับโลก

อินโนบิก ประกาศเจตนารมย์ชัดเจนในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุขของประเทศ และต้องการลดการพึ่งพายานำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงและทดแทนการนำเข้ายารักษาโรค

จะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลากว่า 4 ปีที่ผ่านมานับตังแต่ก่อตั้งอินโนบิก ได้เดินหน้าลงทุนในธุรกิจยาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการผลิตยาชีววัตถุที่มีนวัตกรรมการรักษาโรคที่ไม่ติดต่อ ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร โรคความผิดปกติของระบบประสาท เป็นต้น ด้วยการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร ทั้งการเข้าไปลงทุนในบริษัทผลิตยาชั้นนำ และการทำวิจัยร่วมกับสถาบันการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

การลงทุนใน “บริษัท โลตัส ฟาร์มาซูติคอล จำกัด” (Lotus Pharmaceutical Co., Ltd.) บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไต้หวัน เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายยาสามัญชั้นนำ (Innovative Medicines) ครอบคลุมหลายกลุ่มโรค เช่น โรคระบบประสาท โรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคมะเร็ง โรคสุขภาพผู้หญิง โรคอ้วน ทั้งในตลาดเกาหลี สหรัฐอเมริกา และไต้หวัน เป็นการเพิ่มขีดความสามารถการเข้าถึงยาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล

 

“ธุรกิจเทคโนโลยีทางการแพทย์” (Medical Technology) ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร

การขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็น “Medical Hub” หรือ ศูนย์กลางอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรในระดับนานาชาติ นอกจากทำให้ผู้คนเข้าถึงการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และยารักษาโรคที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึงแล้ว อีกจิ๊กซอว์สำคัญที่ขาดไม่ได้คือ “เทคโนโลยีทางการแพทย์” อย่างเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัย

ดังนั้นเพื่อส่งเสริมความมั่นคงของระบบสาธารณสุขไทย ทำให้คนไทยเข้าถึงเครื่องมือ-อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย ได้มาตรฐานระดับโลก พร้อมทั้งผลักดันอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตโดยบริษัทไทย ขยายสู่ตลาดต่างประเทศมากขึ้น อินโนบิก จึงได้ลงทุนใน “บริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” หรือ NAM ดำเนินธุรกิจผลิต นำเข้า และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ สำหรับการทำความสะอาดและฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์สิ้นเปลืองทางการแพทย์ และให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องแบบครบวงจรมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานมานานกว่า 50 ปี มีฐานลูกค้าสำคัญในโรงพยาบาลและหน่วยงานองค์กรทางด้านสาธารณสุขกว่า 1,200 แห่ง ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ

 

“ธุรกิจโภชนาการเพื่อสุขภาพ” (Nutrition) ส่งเสริมนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต และโภชนาการ

อีกหนึ่งเป้าหมายของอินโนบิก คือ ส่งเสริมนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต และโภชนาการเพื่อความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพที่ดีของประชาชน

เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว อินโนบิกใช้โมเดลร่วมมือกับพันธมิตร และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอาหาร พร้อมทั้งสนับสนุนผลงานวิจัยและนวัตกรรมของคนไทยให้ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศ ไปจนระดับสากล และต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสู่ผู้บริโภค

โดยในปี 2564 ได้จัดตั้ง “บริษัท นิวทรา รีเจนเนอเรทีฟ โปรตีน จำกัด” (Nutra Regenerative Protein Co. Ltd : NRPT) ดำเนินธุรกิจพัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืชแบบครบวงจร สนับสนุนวิถีการมีสุขภาพดีแบบคนรุ่นใหม่ ปัจจุบันดำเนินธุรกิจรับจ้างผลิตอาหารโปรตีนจากพืชครบวงจรให้กับกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ

 

จากนั้นในปี 2565 จัดตั้ง “บริษัท อินโนบิก นูทริชั่น จำกัด” ดำเนินธุรกิจ 3 กลุ่มหลักคือ

โภชนเภสัช (Nutraceutical) โภชนาการอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ เน้นให้เหมาะกับบุคคลแต่ละกลุ่ม ตามอายุ เพศ หรือความต้องการเฉพาะด้าน อาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อินโนบิก โปร เบต้า-กลูแคน พลัส (Innobic Pro Beta-Glucan+) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อินโนบิก   โปร แซลมอน ออยล์รวมไปถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรใหม่ 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ อินโนบิก ซิงค์ ไบโอติน พลัส  อินโนบิก ลูทีน สารสกัดบิลเบอร์รี่ พลัส  อินโนบิก มัลติ-บี กรดอะมิโน พลัส  อินโนบิก แคลเซียม วิตามินดี 3 พลัส วิตามินเค 2  และ อินโนบิก วิตามินซี 1000 พลัส ดี 3 

– โภชนาการทางการแพทย์ (Medical Nutrition) สำหรับคนทั่วไป และกลุ่มคนที่มีความต้องการพิเศษ หรือผู้ป่วยเฉพาะโรค

อาทิ ผลิตภัณฑ์โปรตีนชงดื่ม ไฮ โปรตีน พลัส ตราอินนอริช

– วัตถุดิบอุตสาหกรรม (Ingredients Business) มุ่งต่อยอดนวัตกรรมใหม่ เพื่อสร้างสรรค์วัตถุดิบต่างๆ รวมถึงส่วนผสมเชิงหน้าที่ หรือ Functional Ingredient สำหรับอุตสาหกรรม เช่น วัตถุดิบอาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโภชนาการ

อาทิ น้ำหวานเข้มข้นผสมสตีวิออลไกลโคไซด์ ตรา เนเชอรัล เน็กซ์ ไซรับหญ้าหวานที่ได้รสชาติใกล้เคียงน้ำตาล เป็นต้น 

จากการวางรากฐาน Business Model ใน 3 กลุ่มธุรกิจของ “อินโนบิก (เอเชีย)” สู่การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรหลายภาคส่วน ทั้งองค์กรชั้นนำ สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย และสถาบันทางการแพทย์ ร่วมกันพัฒนาและต่อยอดเทคโนโลยีทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ นับเป็นก้าวสำคัญในการนำพาประเทศไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้าน “Life Science” ในภูมิภาค และสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้ประเทศไทยด้วยเช่นกัน


  • 23
  •  
  •  
  •  
  •