“ทองคำ” แร่ที่มีค่ามากที่สุดชนิดหนึ่ง มักจะถูกนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเลคทรอนิกส์ แต่ทองคำมักจะถูกมองว่าเป็นเครื่องประดับที่มีคุณค่า ด้วยสีเหลืองอร่ามผสานกับค่านิยมที่ทองหมายถึงผู้ที่มีฐานะร่ำรวยและเป็นชนชั้นสูงในสังคมที่มีมาแต่โบราณ ทำให้ทองกลายเป็นเครื่องประดับที่หลายคนอยากจะมีไว้ในครอบครอง ทั้งเพื่อความสวยงามและบ่งบอกความเป็นตัวตน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรามักจะคุ้นหูกับชื่อ “PRIMA GOLD” นั่นเพราะแบรนด์ PRIMA เป็นผู้จำหน่ายเครื่องประดับประเภททองคำ ที่มีจุดเด่นในเรื่องของลวดลายที่สวยงามและความเป็นทองคำบริสุทธิ์ 99.9% (24K) ส่งผลให้เมื่อนึกถึงเครื่องประดับทองในรูปแบบต่างๆ ที่สวยงามวิจิตรบรรจง หลายคนมักจะนึกถึงแบรนด์ PRIMA GOLD เป็นหลัก
ทว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ทองคำไม่ใช่เครื่องประดับเดียวที่หลายคนต้องการ หากแต่ยังมีอัญมณีอย่าง “เพชร (Diamond)” ก็เป็นอัญมณีทรงคุณค่าไม่ต่างไปจากทอง นั่นจึงทำให้ PRIMA GOLD แตกไลน์ธุรกิจสู่การจำหน่ายเครื่องประดับเพชรในแบรนด์ PRIMA DIAMOND ไม่เพียงเท่านี้งานศิลปะเชิงหัตถกรรมที่ทรงคุณค่าก็เป็นเครื่องประดับที่หลายคนสนใจ จนนำไปสู่การขยายไลน์ธุรกิจแบรนด์ PRIMA ART
ตลอดระยะเวลากว่า 27 ปี ที่มีการสั่งสมประการณ์และชื่อเสียง อีกทั้งเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปกลุ่มลูกค้าก็มีอายุเติบโตขึ้นตามไปด้วย จนเกิดช่องว่างให้กับกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุุ่นใหม่ ด้วยเหตุนี้จึงมีการวางกลยุทธ์ Re-Branding ซึ่งนอกจากจะช่วยให้สามารถขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่แล้ว การ Re-Branding ครั้งนี้ยังช่วยให้กลุ่มลูกค้าสามารถให้บริการทั้ง 3 แบรนด์ภายใต้การดูแลของแบรนด์ “PRIMA” เพียงแบรนด์เดียว
นายชนัตถ์ สรไกรกิติกูล กรรมการ บริษัท พรีม่าโกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ชี้ว่า PRIMA ถือเป็นผู้นำในด้านธุรกิจทองคำรูปพรรณ 99.9% เครื่องประดับเพชร และหัตถศิลป์ทองคำ 99.9% ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ด้วยคุณภาพสินค้าที่มีมาตรฐานสูง รวมถึงทีมดีไซน์เนอร์และช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญ จึงทำให้ได้รับความไว้วางใจและการยอมรับตลอดระยะเวลา 27 ปีที่ผ่านมา
ปัจจุบัน PRIMA มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ 71 สาขา (รวมทั้ง PRIMA GOLD, PRIMA DIAMOND, PRIMA ART) แต่ด้วยเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงและการเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ประกอบกับความต้องการของผู้บริโภคหลากหลายมากยิ่งขึ้น บริษัทฯ จึงตัดสินใจ Re-Branding พร้อมทั้งยังคว้าผู้บริหารใหม่ นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ที่เคยสร้างแบรนด์ Huawei ให้เป็นที่รู้จักในไทยมาเข้าร่วมทีม
นอกจากนี้ยังเตรียมงบการตลาดกว่า 50 ล้านบาท เพื่อปรับให้ PRIMA มีความทันสมัย สร้างการจดจำและสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายที่จะมีการขยายมากขึ้น นอกจากนี้ยังเปิดตัว “เบลล่า ราณี แคมเปน” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ PRIMA ที่จะมาช่วยตอบโจทย์ภาพลักษณ์ของผู้หญิงยุคใหม่ มีความมั่นใจและประสบความสำเร็จ
ด้าน นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีม่าโกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ชี้ว่า ตลาดรวมของ Fine Jewelry หรือเครื่องประดับที่ผลิตจากอัญมณีแท้มีมูลค่ากว่า 72,300 ล้านบาท เฉพาะร้านขายเครื่องประดับทองและเพชรในห้างสรรพสินค้าของไทยมีมูลค่าราว 5,200 ล้านบาท โดย PRIMA มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 15%-20% และมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 4.4% ซึ่งเครื่องประดับควรจะเป็นของขวัญสำหรับทุกช่วงเวลาสำคัญ (Precious Moment) แห่งความทรงจำที่ประทับใจ
นอกจากนี้ PRIMA ยังเตรียมไว้ถึง 3 กลยุทธ์ในการเจาะตลาดประกอบด้วย ความเป็นเลิศทางด้านสินค้า ซึ่ง PRIMA มีดีไซเนอร์และช่างที่มีความชำนาญในการสร้างสรรค์ลวดลายที่สวยงาม รวมไปถึงการเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท แพรนด้า จิวเวลลี่ จำกัด (มหาชน) บริษัทที่รับออกแบบและผลิตเครื่องประดับชั้นนำระดับโลก ยิ่งช่วยตอกย้ำความเชี่ยวชาญและความสวยงามที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก
ไม่เพียงเท่านี้ PRIMA ยังตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ด้วยการผลิตสินค้าในกลุ่ม Mono Chic ที่เป็นผลิตภัณฑ์ทองคำขนาดเล็กที่เริ่มต้นเพียง 5,000 บาท และผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม License ที่ PRIMA ได้ลิขสิทธิ์ในการทำลวดลายการ์ตูนน่ารักๆ อย่าง Kitty และ Snoopy
กลยุทธ์ความเป็นเลิศด้านการให้บริการ โดย PRIMA จะเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์ที่ดีในการเข้ามาในร้านของ PRIMA ที่มีอยู่ 71 ร้านค้าทั่วประเทศไทย ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น ซึ่งจากเดิมที่ธุรกิจ PRIMA แบ่งออกเป็น 3 ธุรกิจทั้ง PRIMA GOLD, PRIMA DIAMOND, PRIMA ART โดยการ Re-Branding ครั้งนี้จะรวมทั้ง 3 ธุรกิจเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ชื่อ “PRIMA” เพียงชื่อเดียว และจะมีการปรับรุงร้านค้าทั้ง 71 แห่งให้สามารถจำหน่ายทั้งเครื่องประดับทอง เครื่องประดับเพชรและงานศิลปะในร้านเดียว ปัจจุบันดำเนินปรับเปลี่ยนไปแล้ว 19 ร้านค้า โดยตั้งเป้าปีนี้เปลี่ยนแปลงให้ได้ 50 ร้านค้า
กลยุทธ์ความเป็นเลิศด้านบริการหลังการขาย เนื่องจากสินค้าเครื่องประดับมีราคาที่สูง ดังนั้นลูกค้าจึงควรได้รับบริการที่ดีที่สุด โดย PRIMA พร้อมให้บริการล้างเครื่องประดับและซ่อมเครื่องประดับฟรี รวมไปถึงการรับซื้อคืนในอัตราที่สูงกว่าที่อื่น
จากการสำรวจพบว่ากลุ่มลูกค้าอายุ 20-25 ปีมีสัดส่วนที่โตขึ้น นั่นจึงทำให้ PRIMA จะเน้นการสื่อสารผ่านรูปแบบออนไลน์ ซึ่งจะมีการใช้ KOL ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย Younger โดยตั้งเป้าหมายปีนี้จะมีรายได้แตะ 900 ล้านบาทและมองว่า 3 ปีข้างหน้าจะมีรายได้รวมแตะ 2,000 ล้านบาท และจะทำให้อัตราการเติบโตของ PRIMA แตะ 10%
สำหรับชุดเครื่องประดับไฮไลท์ของปีนี้ ประกอบด้วย เครื่องประดับทองคำ 99.9% จำนวน 4 ชุด คือ Mono Chic, Siam Panarai, Vandeae, Queen Cattleya เครื่องประดับเพชรจำนวน 3 ชุด คือ Twist, The Love Facets, Elite และหัตถศิลป์ทองคำ 99.9% จำนวน 3 ชุด คือ Luxe Collection, Noble Collection, Deluxe Collection