Cryptocurrency ยังคงอยู่ในกระแสการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลกจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าเงินดิจิทัล โดยเฉพาะสกุลเงินบิตคอยน์ (Bitcoin) ที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโต แต่ดูเหมือนจะเกิดความกังวลในหมู่นักลงทุนเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่สำหรับเงินสกุลบิตคอยน์ จนอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายของนักลงทุนเงินดิจิทัล
ด้าน คุณปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งและกรรมการ บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น ผู้ให้บริการเว็บเทรดเงินดิจิทัลในนาม “Satang Pro” ชี้ว่า สถานการณ์ราคาเงินสกุลบิตคอยน์ร่วงต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สำรัฐฯ ในวันนี้ (22 มกราคม 2564) ส่งผลให้เกิดควมกังวลของนักลงทุน ซึ่งช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาราคาบิตคอยน์ขึ้นอย่างรวดเร็วมาก
ในมุมมองส่วนตัว ความผันผวนที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของสถานการณ์บิตคอยน์ ฟองสบู่บิตคอยน์ยังไม่น่าจะแตก และคาดว่าจะสามารถกลับมาทำ New High ได้อีกครั้ง โดย JP Morgan ยังเคยออกมายอมรับว่าบิตคอยน์จะเป็นการลงทุนที่ดีและคาดว่าราคาบิตคอยน์อาจจะปรับตัวสูงขึ้นไปแตะที่ระดับ 146,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะยาว
การที่บิตคอยน์ทำราคาสูงสุดใหม่หลายครั้งนั้น กำลังส่งสัญญาณถึงความสำคัญของเหล่านักลงทุนรายใหญ่ (Big Whale) เริ่มลดบทบาทลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจุบันผู้เล่นรายใหญ่และผู้เลนหน้าใหม่ ซึ่งเคยเป็นนักลงทุนสถาบัน (Hedge Funds, Asset Management, Corporates) เข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2020 เป็นต้นมา
คุณปรมินทร์ยังชี้ว่า บิตคอยน์จะกลายเป็นสิ่งที่หายากขึ้นในปัจจุบัน ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา บิตคอยน์ประมาณ 270,000 เหรียญบิตคอยน์ เทียบเป็นมูลค่ากว่า 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 3 แสนล้านบาท ถูกโอนออกจากกระดานเทรด (Exchange) ไปเก็บข้างนอกแทน ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นปริมาณที่สูงมาก เพราะมากกว่า 1% ของจำนวนบิตคอยน์ที่ถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมด 21 ล้านเหรียญ ถูกย้ายไปยังนักลงทุนสถาบันการเงินหรือ Whale ที่เป็นผู้ถือบิตคอยน์ระยะยาวเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ Grayscale Bitcoin Trust ถือบิตคอยน์มากกว่า 600,000 BTC หรือเรียกได้ว่ามากกว่า 3% ของบิตคอยน์ในตลาดโลกอยู่ในมือ Grayscale
นั่นแปลว่า ราคาบิตคอยน์จะขึ้นหรือลงในตลาดตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้จำนวนเงินจำนวนมากในการดันหรือทุบราคา ถ้านักลงทุนสถาบันการเงินหรือ Whale จะทุบเพื่อ Shake Out จากรายย่อยก็ไม่ต้องใช้เงินมาก หรือจะลากให้ราคาขึ้น เพื่อให้รายย่อยเข้าตามก็ไม่ต้องใช้เงินมากเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องเตือนว่า ตลาดมีความร้อนแรง ส่งผลให้ความเสี่ยงสูง นักลงทุนจึงต้องบริหารเงินให้เป็น
จะเห็นได้ว่าราคาบิตคอยน์ผันผวนจาก 42,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลงมาต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นเป็นไปได้ภายในเวลาไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแล้วเงินที่จะนำมาใช้ลงทุนในเงินดิจิทัล ขอแนะนำว่าควรจะเป็นเงินเย็น เป็นเงินที่เรายอมรับได้ถ้าเกิดการสูญเสีย เงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันหรือเงินที่ไปกู้มา ก็ยังยืนยันว่าไม่ควรเสี่ยงเด็ดขาด ต่อให้รู้ว่าตลาดจะขึ้นในอนาคตก็ตาม
โดยเฉพาะนักลงทุนมือใหม่ควรศึกษาหาความรู้ให้เข้าใจตลาดแบบมองข้อมูลเชิงพื้นฐานและศึกษาข้อมูลเชิงลึกด้วยเพื่อป้องกันความเสี่ยง ที่สำคัญคือต้องใช้สติและวิจารณญาณในการลงทุนให้มาก
นอกจากนี้คุณปรมินทร์ยังชี้เหตุผลสำคัญ 3 ข้อ ที่ทำให้เชื่อว่า บิตคอยน์จะไม่ลงไปต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ประกอบไปด้วย ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนมาก เพราะสหรัฐฯกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ใช้ทั้งนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และนโยบายการคลังที่ผ่านสภาคองเกรส แบบมโหฬาร นโยบายของ Joe Biden คือผลิตเงินขึ้นมาอีก 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้หลายบริษัทและนักลงทุนต้องหาทางลดสภาพคล่องด้วยการนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการเก็บเงินสด
บิตคอยน์คือสินทรัพย์คงคลังตัวใหม่ บริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะ Reserve Asset มากขึ้นอย่างก้าวกระโดดถ้าเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ล่าสุด BlackRock ซึ่งเป็นผู้จัดการสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดก็เข้ามาในตลาดบิตคอยน์แล้ว โดยกำลังเตรียมการเข้าสู่ตลาดอนุพันธ์หรือ Bitcoin Futures รวมถึงได้ยื่นหนังสือถึง ก.ล.ต.สหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว 2 ฉบับ ได้แก่ BlackRock Funds V และ BlackRock Global Allocation Fund, Inc. ซึ่ง BlackRock มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการกว่า 7.81 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 234 ล้านล้านบาท
และ สินทรัพย์ดิจิทัล เริ่มมีช่องทางการเข้าถึงที่แพร่หลายสู่ผู้ใช้ทั่วโลกมากขึ้น ผ่าน PayPal ที่มีทั้ง 20 ล้าน ร้านค้าและสมาชิกผู้ใช้ทั่วโลกประจำอยู่ 346 ล้านสมาชิก รวมไปถึงความร่วมมือของ Visa และ USDC ซึ่งจะทำให้ร้านค้าจำนวน 60 ล้านร้านค้าทั่วโลกเข้าถึงการใช้เงินดิจิทัลได้
โลกกำลังอยู่ในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง และปีนี้บิตคอยน์และเงินดิจิทัลสกุลอื่นๆ จะถูกยอมรับโดยคนทั่วโลก เป็น Mass Adoption มากขึ้น และอยากฝากว่านักลงทุนมือใหม่อย่าหลงเชื่อคนที่มาชวนลงทุนไม่สามารถตรวจสอบได้ จะซื้อขายให้ปลอดภัยต้องผ่านเว็บเทรดที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจาก ก.ล.ต.