ถ้าจะพูดถึงตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามและดูแลผิวพรรณ (Beauty & Personal Care) ในประเทศไทยที่มีการแข่งขันไม่มีแผ่วเลย คงต้องยกให้ผลิตภัณฑ์ประเภทกันแดด ยิ่งช่วงพีคที่สุด พอ ๆ กับสภาพอากาศ ก็ต้องช่วงหน้าร้อน ที่ผู้เล่นทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ต่างงัดกลยุทธ์ออกมาเอาใจผู้บริโภคที่ขยายทาร์เก็ตกว้างมากขึ้นในปัจจุบัน ชื่อของ PO Care ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่น่าจับตามอง นอกจากจะกลับมาทวงบัลลังก์ กันแดดเจ้าแรก ๆ ที่เป็นทั้งกันแดดและบำรุงผิว ในหลอดเดียวแล้วยังมาพร้อมแผนการตลาดที่อุดรอยรั่วไว้ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ
คุณนิพา เดชมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พี.โอ.แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมของตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์กันแดดว่า “แนวโน้มตลาดสินค้าประเภทกันแดดจะโตขึ้นแน่นอน เพราะผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการทากันแดดมากขึ้น ณ ปัจจุบัน ตลาดผลิตภัณฑ์กันแดดในประเทศไทย เติบโตขึ้นกว่า 18.4% โดยแบ่งเป็นผลิตภัณฑ์กันแดด 3.24 พันล้านบาท และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มี SPF อยู่ที่ 6.20 พันล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการปกป้องผิวจากแสงแดด และเริ่มเข้าใจว่าต้องทากันแดดไม่ใช่แค่เพื่อความงาม (ผิวหมองคล้ำ ฝ้า กระ ริ้วรอย) แต่เพื่อสุขภาพด้วยแม้ว่าจะยังมีบางคนที่เข้าใจว่า กันแดดเป็นสิ่งจำเป็นแต่ยังไม่คิดเปิดใจอยู่บ้าง เพราะฝังใจว่าเนื้อสัมผัสของกันแดดทุกวันนี้ เนื้อหนาหนัก เกลี่ยยาก ไม่สบายผิว และด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ พัฒนาไปแบบก้าวกระโดดขึ้นมาก ทำให้การผสานสารกันแดดเข้ากับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ไพรเมอร์ รองพื้น ลิปบาล์ม ยิ่งสร้างการรับรู้ให้เข้าใจมากขึ้นว่ากันแดดสำคัญยังไง ค่า SPF และ PA ช่วยปกป้องผิวเราได้แค่ไหน ด้วยปัจจัยเหล่านี้นี่เอง ที่เอื้อให้ตลาดโตเร็วขึ้นตามไปด้วย”
เปิดจุดแข็งของกันแดด ใครไม่แค่ แต่ PO Care แคร์
กันแดด PO Care เราเริ่มจากธุรกิจผลิตภัณฑ์กันแดดมาตั้งแต่ต้น กันแดดแรก คือ After Sun ก่อนมาผลิต Sunblock Tanning Oil และ Skincare เราคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และวางจำหน่ายมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี ที่เรายังเกาะกลุ่มตลาดในลำดับต้น ๆ ได้ทุกวันนี้เพราะว่า เราเน้นจุดแข็งในเรื่องคุณภาพสินค้า ที่แก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคได้จริง ยิ่งไปกว่านั้น เรายังเพิ่มแวร์ลู่ให้มากขึ้น คือผลิตภัณฑ์กันแดดของเรา สามารถกันแดด และป้องกันรังสีได้อย่างครบถ้วน และเป็น Broad Spectrum พร้อมบำรุงผิวด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ในราคาสมเหตุสมผล เราสร้างความแตกต่างด้วยการชูจุดแข็งที่เรา “แคร์”
แคร์แดดและผิวคนไทย : เรามีทีม R&D และโรงงานเป็นของเราเอง และเข้าถึงสารสกัดได้ทั่วโลก ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้เราคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์กันแดดประเภท Physical อย่างกันแดด HyaC+ ที่เป็น Physical Sunscreen 100% เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะกับผิวแพ้ง่าย ไม่สะสมความร้อนในชั้นผิว ลดปัญหาผิวแสบแดงระคายเคือง ไม่ทิ้งคราบขาว หน้าไม่เมือก ไม่เป็นขุย เพิ่มความชุ่มชื้นบนใบหน้า เนื้อเกลี่ยง่าย กันน้ำกันเหงื่อ ตอบโจทย์สภาพอากาศเมืองไทยได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ กันแดดไฮยาซีพลัส จะช่วยกันแดดแล้ว ยังช่วยบำรุงผิว ภายใต้คอนเซปต์ “บล็อกแสง บูสต์ผิวใส” ด้วยนวัตกรรม HyaC+ ที่บรรจุ ไฮยาลูลอน 8 โมเลกุล และวิตามินซีจากผลคาคาดูพลัม ลงไปบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก พร้อมพลัสออร่าให้แลดูกระจ่างใสได้ แคร์สุด คุ้มสุด ทั้งปกป้อง ทั้งบำรุงผิวใส แคร์ผู้บริโภค : ด้วยการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา จริงใจไม่มีกั๊ก ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้อง เราไม่ได้มองว่าผู้บริโภคเป็นเพียงลูกค้าแต่ให้ความสำคัญเหมือนเพื่อนสนิท ที่เรามีอะไรดีก็บอกต่อ อะไรไม่ดีก็ต้องบอกแต่ละแคมเปญของเรา จึงเน้นสื่อสารแบบหมดเปลือกไม่มีกั๊ก แคร์สิ่งแวดล้อม : เป็นมากกว่าครีมกันแดดที่แคร์ผิว เพราะยังแคร์สิ่งแวดล้อมและโลกใบนี้ด้วย ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่สื่อสารออกไป เช่น การพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยผลิตครีมกันแดดที่ใช้สารกันแดด Physical 100% เป็นมิตรกับสัตว์น้ำ เพื่อลดโอกาสการเกิดปะการังฟอกขาวจากการใช้กันแดด และ เรายังมีการจัดทำแคมเปญเพื่อให้ลูกค้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยชีวิตสัตว์ป่า ภายใต้แคมเปญ Protection For Protection ด้วย แคร์กันอย่างจริงใจ : เราส่งต่อความจริงใจ ไปถึงผู้บริโภค ผ่านพรีเซนเตอร์คนสำคัญ คุณก้อย-อรัชพร ที่มาเรพรีเซ็นต์ ความน่ารัก แคร์เก่งและจริงใจสุด ๆ ในแบบของกันแดดก้อย อรัชพร เพราะเธอคาแรคเตอร์ที่จริงใจ สดใส สนุกกับการใช้ชีวิต ซึ่งเข้ากันกับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี เจ้าแรกที่แคร์ นำกันแดดและบำรุงผิวมาไว้ในหลอดเดียว : เริ่มจากที่เราได้พูดคุยกับนักท่องเที่ยว จึงนำมาสู่ต้นแบบผลิตภัณฑ์กันแดดทั้งหมดของ พี โอ แคร์ และเป็นแบรนด์กันแดดไทยเจ้าแรก ๆ ที่ผลิตกันแดดพร้อมบำรุงผิว มากไปกว่านั้น ยังเป็นทั้งกันแดดหน้า และกันแดดผิวกาย เรามั่นใจว่า กันแดดที่ดีไม่ควรเป็นแค่กันแดด แต่ควรเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ด้วยนวัตกรรมที่ช่วยดูแลผิวและสารสกัดจากทั่วโลกที่จะมาช่วยเสริมกันแดดให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น จึงเป็นจุดเด่นที่สร้างความแตกต่างให้แบรนด์ได้อย่างมาก”
แผนการตลาดที่ยั่งยืนในยุคดิจิทัล
“บริษัทฯ มีการวางแผนกลยุทธ์ด้านการตลาด โดยการใช้ดาต้า การตลาดที่สามารถเข้าถึงตัวของลูกค้าได้แบบเฉพาะเจาะจง โดยการผ่าน Big Data มาวิเคราะห์ทั้งในการสื่อสาร และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เป็นการตลาดที่ยั่งยืนและใส่ใจต่อสังคม อีกอย่างที่สำคัญคือ Word of Mouth ถ้าของเราดีจริงใครก็อยากบอกต่อ เราเน้นการบอกกล่าวประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานจริง เมื่อเกิดความรู้สึกประทับใจก็จะมีการบอกต่อไปยังคนสนิท คนใกล้ตัว ผู้บริโภคทุกคนเมื่อมีสิ่งที่ดีที่เราใช้ ก็มักจะบอกต่อแนะนำเพื่อให้เกิดประสบการณ์ร่วม ท่ามกลางการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ทำให้เราคาดหวังยอดขายเติบโตจากกลุ่มเป้าหมายหลัก คนรุ่นใหม่ วัยทำงาน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของยอดขายเดิมเมื่อปีที่แล้ว
วางรากฐานตลาดในประเทศ ก่อนสยายปีกในกลุ่มต่างชาติ
“ปัจจุบันเราทำการตลาดอยู่ที่ แถบ UAE อะบูดาบี, อินเดีย กลุ่มนี้เราทำตลาดมานานแล้ว และปีนี้ได้ขยายฐานการตลาดไปเวียดนาม ซึ่งในอนาคตเราจะได้เห็นกันแดดไทยไปเติบโตที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง จะมีการขยายฐานการผลิตและตั้งออฟฟิศ เป็นสาขาในประเทศเวียดนามด้วย ซึ่งภายในปี 2567 ต่อเนื่องถึงปีหน้า แน่นอนอยู่แล้วว่าเราจะโฟกัสกับผลิตภัณฑ์ กันแดด ให้ครอบคลุมทุกความต้องการและสภาพผิว นอกจากนั้นแล้วเราจะคิดค้นสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคและทำให้กันแดดไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคนทุกช่วงวัย รวมถึงเป็นไอเทมที่ต้องพกติดกระเป๋าไว้ใช้ได้เรื่อย ๆ
โอกาสนี้ ขอใช้พื้นที่นี้ ขอบคุณ คู่ค้า ลูกค้าสำหรับมิตรภาพอันดีมาโดยตลอด ไม่ว่าเราจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ชนิดใดออกมา ก็ให้การสนับสนุนด้วยดีเสมอมา ซึ่งบริษัท พี.โอ.แคร์ จำกัด ยึดมั่นทั้งคุณภาพของสินค้าและความสัมพันธ์อันดีนี้ให้คงอยู่ต่อไป”