ปัจจุบันเทรนด์ของ Sport Marketing กำลังมาแรงอย่างยิ่งพร้อมๆ กับกระแสฟีเวอร์ในวงการกีฬาไล่ตั้งแต่วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยที่เพิ่งคว้าแชมป์เอเชียไปหมาดๆ ก่อนมาทำผลงานเยี่ยมเป็นกระแสต่อเนื่องในทัวร์นาเมนท์คัดเลือกโอลิมปิก 2024 ก่อนจะลงชิงชัยในมหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 19 ณ เมืองหางโจว ประเทศจีน นอกจากนี้วงการฟุตบอลเอง “ทีมชาติไทย” ก็สร้างกระแสไม่แพ้กัน เริ่มตั้งแต่กระแสแห่กันซื้อตัวเข้าชมฟุตบอลคิงส์คัพ ที่สนามสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี กับผลงานในทัวร์นาเมนท์ “คิงส์คัพ” ที่น่าประทับใจ ก่อนเข้าสู่เส้นทางแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชียน ที่กำลังจะฟาดแข้งในช่วงปลายปีนี้
กระแสฟีเวอร์ในวงการกีฬาแบบนี้ หลายแบรนด์หันมาทำการตลาดด้วย Sport Marketing กันมากขึ้น ซึ่งหากทำได้อย่างถูกจุด นอกจากจะสามารถสื่อสารไปในวงกว้างได้แล้วยังสร้าง Impact ให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นบทความนี้จะมาเล่าถึง Case Study ให้เรียนรู้จาก B-Quik ที่ใช้โซลูชั่นมีเดีย “4Os” ของ Plan B Eleven ผสาน Online-OOH-On-air-On-ground ผสานกับแผน Hijack Media สอดรับกับเทรนด์การทำการตลาดแบบ Omni-Activation ที่กำลังเป็นกระแสในปีนี้ แคมเปญที่อาจเรียกได้ว่าไม่เคยมีใครทำมาก่อน เพราะใช้เวลาเพียง 2 วันแต่กลับได้ impact ครอบคลุมทั่วประเทศ
จับกระแส Meme ของ Social เข้า Hijack โมเมนต์ของ Football
การใช้ Sport Marketing สื่อสารสู่สายตาคนโดยเฉพาะในโลกออนไลน์เป็นวงกว้างได้นั้นการสร้าง Meme เป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งที่มีประสิทธิภาพแต่นั่นก็ต้องมาพร้อมกับคอนเทนต์ที่ตรงใจกับคอกีฬาแต่ละประเภทและแต่ละท้องที่ได้ด้วย ซึ่งในแคมเปญนี้ทาง B-Quik และ Plan B เลือกใช้ภาพโมเมนต์และแอคชั่นเท่ๆ ของนักฟุตบอลทีมชาติที่เกิดขึ้นในสนาม เช่น จังหวะการจ่ายบอล เลี้ยงบอล เข้าปะทะ ยิงประตู สร้างเป็นคอนเทนต์แบบ Real-Timeทั้งในช่วงการแข่งขัน “ครึ่งแรก” และ “ครึ่งหลัง”
ใน “ครึ่งแรก” ทีมงานเลือกจับกลุ่มผู้ชมภาคเหนือด้วย “ภาษาถิ่น” แล้วแชร์แบบ Real-time ออกไป ส่วน “ครึ่งหลัง” จะใช้ภาษาสนุกๆ ที่มาแรงบนโซเชียลแทนที่ เพื่อสร้างความสดใหม่สื่อสารถึงแฟนบอลทั่วประเทศ เรียกรอยยิ้มไปกับการแอบเนียนขายของของแบรนด์ที่ลงตัว เช่น
- ม่วนอ๊กม่วนใจ๋ วิ่งได้ไม่หยุดด้วยโปรบุฟเฟต์ เติมลมยางไนโตรเจน ที่ B-Quik
- กระชากไม่มีต๊ะต่อนยอน แต่ตอนผ่อนอ่ะชิลๆ 0% นาน 6 เดือน ที่ B-Quik
- เกมบุกงามแต๊ๆ จ่ายลื่นไหลไม่สะดุด เพราะชุดน้ำมันเครื่องเกรดหมื่นกิโล เริ่มต้น -ที่ B-Quik
- เราก็พลิ้วซะด้วย กองหลังก็ว้าวุ่นเลย อาการไม่ดีแบบนี้ ตรวจเช็คฟรี 30 รายการ ที่ B-Quik
- คนนี้ของแทร่ แทร่แบบไม่มีข้อแม้ เหมือนตรวจเช็คฟรี 30 รายการ ที่ B-Quik
จากไอเดีย #ดูแลเต็มที่พร้อมเชียร์เต็มร้อย ผ่านการ Hijack Football Moment บนโลกโซเชียลนี้ ทำให้โปรโมชั่นของ B-Quik ถูกจดจำและกลายเป็น Top of Mind ของผู้ชมตลอดช่วงระยะเวลาการแข่งขันเพราะทุกคนต่างโฟกัสและติดตามเชียร์ทีมชาติไทยบวกกับกระแส Viral ด้วยจำนวนการเข้าถึงกว่า 8.3 ล้าน Reach บนโลกออนไลน์
Hijack มีเดียด้วย “เสื้อแพทย์สนาม” ขโมยซีนนักฟุตบอล
นอกจากกลยุทธ์สร้าง Meme ในโลกออนไลน์แล้ว B-Quick ยัง Hijack สายตาผู้คนในสนามจริงรวมถึงผู้ชมที่ “On-Air” รับชมการถ่ายทอดสด ด้วยการขโมยซีนนักฟุตบอลผ่านทีมแพทย์สนาม ด้วยข้อความโปรโมชั่นหลังเสื้อทีมแพทย์สนาม “ตรวจเช็กฟรี 30 รายการที่ B-Quik” แล้วลงไปตรวจเช็กอาการบาดเจ็บของนักบอล “สร้าง Moment ที่ขโมยซีนนักฟุตบอล” แบบน่ารักๆ จนเกิดเป็นกระแสและแชร์กันต่อบนโลกออนไลน์ และยังเข้าถึงคนดูเป็นจำนวนมากผ่านการถ่ายทอดสดจนเกิดเป็น Impact Awareness
ทำคอนเทนต์ต่อยอด “บุกห้องแพทย์” เพิ่ม Brand Attention
หลังจากกระแสภาพเสื้อทีมแพทย์เป็นที่พูดถึงในช่องทางออนไลน์โดยเฉพาะเพจวงการกีฬา B-Quik ไม่หยุดแค่นั้นตามดันกระแสแพทย์สนามต่อไปด้วยการทำ “คอนเทนต์วิดีโอ” บุกห้องแพทย์สนามไปสัมภาษณ์ความพร้อมของทีมแพทย์สนาม ด้วยแคปชั่น “ช่วงนี้ฮอต!แพทย์สนามก็ต้องเป็น ขายของก็ต้องขาย” ที่แพทย์นอกจากจะบอกความพร้อมของทีมก่อนลงสนามรอบชิงแล้ว ยังแอบขายของให้ B-Quik ไปด้วยจนแฟนบอลเข้ามาคอมเมนต์แซวกันเพียบ
Build กระแสต่อด้วย Fast Ads ใน 24 ชม.
นอกจากการสื่อสารในโลก Online แล้ว B-Quik ยังทำ Omni Activation ต่อด้วย Fast Ad บนป้าย “OOH” (Out of Home) ต่อเนื่องใน 24 ชั่วโมง เพื่อเรียกความสนใจของคนในช่วงคิงส์คัพ เกิดเป็น Exposure รูปแบบใหม่ๆ เพราะในช่วงเวลานั้นหากจะบอกถึงกีฬาที่คนไทยสนใจที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น “ฟุตบอลทีมชาติไทย!” ด้วยกลยุทธ์การใช้คอนเทนต์ที่เป็นกระแสในโลก Social Plug-in เข้าไปกับ Football Moment สู่สื่อนอกบ้านทำให้เรียกความสนใจจากผู้คนที่เดินทางอยู่บนท้องถนนได้เป็นจำนวนมาก
สร้าง Engagement ด้วย on Ground Activity
แน่นอนว่านอกจาก Activate แคมเปญผ่าน Online, On-Air และ OOH แล้ว B-Quik ยังเข้าไปสร้าง Engagement กับแฟนบอลผ่าน “On-Ground” ด้วย Booth Activity หน้าสนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี ที่เป็นสังเวียนการแข่งขันคิงส์คัพด้วย นับเป็นการทำ Sport Marketing ที่ครบทุก Touch point อย่างจริงจังของแบรนด์ B-Quik กับฟุตบอลทีมชาติไทยก็ว่าได้
แน่นอนว่าแคมเปญในครั้งนี้สร้าง Impact ในวงกว้างอย่างแน่นอน โดยเฉพาะจากสถิติเรทติ้งผู้ชม โดย A G B Nielsen บริษัทชั้นนำในการสำรวจเรตติ้ง ได้ออกมาเปิดยอดผู้ชมผ่านหน้าจอ “ไทยรัฐ ทีวี” มาพบว่าศึกคิงส์ คัพที่ผ่านมามียอดผู้ชมสูงสุด 2.58 ล้านคนต่อนาที มีเรตติ้งผู้ชมทั่วประเทศถึง 4.963 เรตติ้งในกรุงเทพฯ 5.222 และ เรตติ้งต่างจังหวัด (หัวเมืองใหญ่) สูงถึง 5.603 ในขณะที่ยอดผู้ชมในสนามเองก็เต็มจนล้น กว่า 16,543 ที่นั่งเลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างการทำ Sport Marketing ด้วยกลยุทธ์ Omni-Activation ที่สื่อสารสู่สายตาผู้บริโภคทุกช่องทางที่แบรนด์สามารถใช้ไปเป็นแนวทางในการสื่อสารได้ และสิ่งสำคัญที่จะทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือการมีสื่อ Omni Chanel ในมือซึ่งเป็นโซลูชั่นที่ Plan B Eleven มีอยู่ทั้งหมด อย่าง 4Os นั่นเอง
หลังจากนี้ก็คงต้องจับตาดูในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 ซึ่งจะแข่งแบบพบกันหมดเหย้า-เยือน รวมทั้งหมด 6 นัดโดย “ทีมชาติไทย”จะลงแข่งขันนัดแรกพบกับ “ทีมชาติจีน” ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ทางแบรนด์ B-Quik และ Plan B Eleven จะจับมือกันทำแคมเปญอะไรออกมาให้แฟนบอลได้ลุ้นได้เชียร์กันอีก ต้องติดตาม