ถอดสูตรความสำเร็จของ PFS สู่การฉลองครบรอบ 30 ปี พร้อมเดินหน้าขยายตลาด-สร้างนวัตกรรม

  • 16
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ในยุคที่โลกเชื่อมโยงกันอย่างไร้พรมแดน อาหารจึงไม่ใช่แค่หนึ่งในปัจจัยสี่ที่ช่วยให้ดำรงชีวิตอีกต่อไป แต่อาหารกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และไลฟ์สไตล์ของผู้คนทั่วโลก ส่งผลให้เทรนด์อาหารเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพมากขึ้น มองหาความสะดวกสบายและต้องการประสบการณ์ใหม่ๆ ในการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะการสร้างความมั่นคงด้านอาหาร

การถนอมอาหารจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นการถนอมอาหารก็พัฒนาก้าวหน้าเช่นกัน ส่งผลให้อุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกมีการแข่งขันสูงขึ้น ผู้บริโภคต้องการอาหารที่หลากหลาย ปลอดภัยและมีคุณภาพ พร้อมความสดใหม่และมีคุณค่าทางโภชนาการที่คงอยู่ได้นานขึ้น และเป็นโอกาสที่ Preserved Food Specialty หรือ PFS ได้ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารระดับโลก

 

ทำความรู้จักธุรกิจ PFS ครบรอบ 30 ปี

คนส่วนใหญ่ทั่วไปอาจไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อ Preserved Food Specialty หรือ PFS นั่นเพราะที่ผ่านมาก่อ PFS เน้นการดำเนินธุรกิจในรูปแบบ B2B เป็นหลัก ซึ่งในแวดวงอุตสาหกรรมอาหารแล้ว PFS คือผู้นำการผลิตอาหารอบแห้งแบบครบวงจรของประเทศไทย โดยในปี 2537 คุณวรภาส มหัทธโนบล กรรมการผู้จัดการ ได้เริ่มก่อตั้งธุรกิจเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารถนอมคุณภาพสูงแก่ผู้บริโภค

 

คุณวรภาส มหัทธโนบล กรรมการผู้จัดการ บริษัท PFS

 

ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการพัฒนาเทคนิคการถนอมอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเน้นเรื่องของคุณภาพที่ทำให้ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ยังคงได้รับความไว้วางใจจากซัพพลายเออร์ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์อาหารมีรสชาติอร่อยและคงคุณค่าทางโภชนาการไว้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

“ความสำเร็จที่เราได้รับในวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำงานเพียงลำพัง แต่มาจากการสนับสนุนและความร่วมมือจากพันธมิตรทุกท่าน นั่นทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารของเรามีจำหน่ายไปทั่วโลก เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ทุกท่านรับประทานผลิตภัณฑ์ถนอมอาหาร ก็จะมีความภาคภูมิใจของคนไทยอยู่ในนั้นด้วย” คุณวรภาส มหัทธโนบล กรรมการผู้จัดการ Preserved Food Speciality

 

 

เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีของ PFS จึงมีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่โดยได้รับเกียรติจากพันธมิตรและลูกค้าทั่วโลกเข้าร่วมงาน พร้อมประกาศวิสัยทัศน์ที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารถนอมของโลก และมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่อร่อยและดีต่อสุขภาพแก่ผู้บริโภคทั่วโลก รวมไปถึงการประกาศเปลี่ยนแปลงโลโก้ของ PFS ที่จะสะท้อนถึงวิสัยทัศน์และพันธกิจของบริษัทฯ ที่ต้องการเป็นศูนย์รวมแบบครบวงจรในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคไว้วางใจอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง ด้วยนวัตกรรมการผลิต สร้างผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ส่งเสริมสุขภาพของผู้คนบนโลก พร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในอนาคต

 

เจาะแนวคิดโลโก้ใหม่สู่การเติบโต

ความทิศทางของตลาดอาหารที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ รวมถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทำให้มีการพัฒนาและปรับรูปแบบโลโก้ธุรกิจใหม่เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของธุรกิจ โดยเฉพาะภาพลักษณ์การเป็น “ผู้ให้การดูแลด้วยหัวใจ (Care Giver)” หนึ่งในปรัชญาการทำธุรกิจของ PFS ที่ใช้ใจในการนำทางธุรกิจ

 

 

นั่นทำให้ทุกการออกแบบของโลโก้ใหม่จึงมีความหมายในทุกองค์ประกอบ โลโก้ใหม่จะยังคงใช้รูปการ์ตูนเชฟเหมือนเดิมเพื่อย้ำให้ทั่วโลกเห็นถึงคุณภาพที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ผ่านการออกแบบโลโก้ที่ดูเรียบง่าย ทันสมัย โดยตั้งใจใช้ฟ้อนต์และสีในโทน Gradient ที่เป็นภาพจำในตัวตนของ PFS แต่มีการปรับให้เชฟดูหนุ่มขึ้น ทันสมัยมากขึ้น พร้อมทั้งลดทอนรายละเอียดบางอย่างเพื่อให้ตัวเชฟดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

ที่สำคัญตัวอักษรทั้ง 3 ตัวยังได้ออกแบบเฉพาะขึ้นมาให้มีสีที่แตกต่างกัน โดยแต่ละสีจะสะท้อนวิสัยทัศน์และพันธกิจของ PFS ทั้ง

  • ตัว “P” สีเขียว ที่ชี้ให้เห็นถึงธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
  • ตัว “F” สีน้ำเงิน เป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นยกระดับสุขภาพของชีวิตทุกคน
  • ตัว “S” สีฟ้า ตัวแทนของการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
  • มุมบนขวาสีแดง ที่สะท้อนถึงการใช้ใจในการสร้างสรรค์คุณภาพเพื่อผู้คนพร้อมทั้งดูแลสิ่งแวดล้อม

 

นวัตกรรมสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ถ้าจะกล่าวถึงจุดเด่นที่ทำให้ธุรกิจของ PFS สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ก็ต้องยอมรับว่าการนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยให้การถนอมอาหารคือหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพ เพื่อเป็นส่วนประกอบให้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างกุ้งและหมูสับที่อยู่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รวมไปถึงผักผลไม้ที่ยังคงคุณค่าทางโภชนาการ แต่สามารถเก็บได้อย่างยาวนาน โดยเฉพาะ 2 นวัตกรรมหลักที่ทำให้แบรนด์ในไทยและต่างประเทศต้องเลือกใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็น

 

 

  • ฟรีซดราย (Freeze Drying) ที่มีการใช้เทคโนโลยีแช่แข็งเพื่อถนอมอาหาร ด้วยการทำให้อาหารแห้งอย่างรวดเร็วโดยใช้อุณหภูมิต่ำ และยังเป็นกระบวนการผลิตหลักของธุรกิจ
  • สเปรย์ดราย (Spray Drying) ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ด้วยการฉีดให้อาหารออกมาในรูปแบบของสเปรย์ โดยผ่านกระบวนการดูดความชื้นจนกลายเป็นผง

ส่งผลให้ในปี 2024 PFS สามารถสร้างผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายรวม 4,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 15% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ

 

เดินหน้ากลยุทธ์สร้างการเติบโต

 

เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน จึงมีการตั้งเป้ายอดขายเติบโต 7,000 ล้านบาท ภายในปี 2030 ด้วยกลยุทธ์การขยายตลาด และออกสินค้าใหม่ในกลุ่ม Health & Well-being เพื่อเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยในปี 2025 จะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ 3 กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น

  • Bite Me Yogurt Smoothie Freeze Dry ที่มาด้วยกันถึง 3 สูตร ทั้งสูตร Vitamin C, Vitamin E, Fiber
  • Dreamy Fruit Tea with Stevia ที่มาด้วยกันถึง 5 รสชาติ ประกอบด้วย Apple, Yuzu, Peach, Mixed Berries, Honey Lemon
  • Dreamy Natural Oat Milk Creamer ครีมเมอร์ที่ผลิตจากน้ำมันมะพร้าวและโปรตีนนมโอ๊ตโดยทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์จะเป็นการขยายตลาดเข้าสู่ B2C อย่างจริงจัง โดยเฉพาะการสร้าง Brand Awareness เพื่อให้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคมากขึ้น

“เราได้มุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการผลิต โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เราเริ่มลงทุนใช้จ่ายไปกับนวัตกรรมที่เป็นเทคโนโลยีค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา ส่งผลให้กำลังการผลิตของเราทั้งระบบ Freeze Drying และระบบ Spray Drying จะมีกําลังการผลิตรวมกันประมาณ 1 แสนตันต่อปี เพื่อรองรับการขยายตลาดสู่ต่างประเทศ” คุณภาณุ มหัทธโนบล ผู้จัดการทั่วไป PFS

PFS ยังเตรียมเปิดสายการผลิตเพิ่มในกลุ่ม Frozen ด้วยเทคโนโลยี Individual Quick Frozen หรือ IQF เพื่อขยายตลาดกลุ่มแช่แข็ง พร้อมทั้งการพัฒนา R&D Technical Center บนพื้นที่กว่า 2,600 ตารางเมตร โดยเน้นการวิจัยและพัฒนาสินค้ากลุ่มนวัตกรรมรองรับเทรนด์ด้านอาหารที่จะเกิดขึ้นทั่วโลก ที่สำคัญยังมีแผนขยายธุรกิจไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์จากข้าว โดยคาดหวังให้ PFS เป็นผู้ผลิตและจําหน่ายข้าวออร์แกนิครายใหญ่ที่สุดในโลก

 

เทรนด์อาหารทั่วโลกโอกาสที่ต้องรู้

 

ในงานครบรอบ 30 ปีของ PFS ยังได้รับเกียรติจาก คุณเชอร์รี่ เขมอัปสร ดารานักแสดงที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืน และ ผศ.ดร.วิษุวัต สงนวล ผู้ร่วมก่อตั้ง & Chief Strategist บริษัท แอดวานซ์ กรีนฟาร์ม จำกัด มาร่วมพูดคุยในหัวข้อ Food Insecurity & The Next Chapter ที่ชี้ให้เห็นว่าอาหารมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อสุขภาพของผู้คนทั่วโลก และเมื่อมองสู่อนาคตของอาหารสามารถออกเป็นเทรนด์ของอาหาร 4 เทรนด์ด้วยกันได้ที่จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์อุตสาหกรรมอาหารอย่างมีนัยสำคัญในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ประกอบไปด้วย

Future Food หรือ อาหารแห่งอนาคต สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทกลุ่มอาหารหลักๆ ทั้ง

  • อาหารฟังก์ชัน (Functional Food) ซึ่งเป็นอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ นอกเหนือไปจากอาหารพื้นฐานทั่วไปที่รับประทานกันอยู่
  • อาหารออร์แกนิก (Organic Food) เป็นอาหารที่ผลิตโดยกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปราศจากสารเคมี ซึ่งในสหรัฐฯ และยุโรป อาหารออร์แกนิกกลายเป็นอาหารปกติที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่าย
  • อาหารเฉพาะกลุ่ม (Specialized Food) เป็นอาหารที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม เช่น อาหารทางการแพทย์สําหรับผู้ป่วยหรืออาหารสําหรับเด็ก
  • อาหารจากพืช (Plant-Based Food) เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งสิ่งสำคัญคือรสชาติและประสบการณ์การรับประทานอาหาร

Alternative Protein หรือ โปรตีนทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนจากแมลง โปรตีนจากสาหร่าย หรือโปรตีนจากเนื้อเพาะเลี้ยง โดยเฉพาะ “ไข่ผำ” ที่กำลังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นพืชที่มีขนาดเล็กมากกว่า 1 มิลลิเมตร แต่มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก จัดเป็น Super Food สามารถผลิตโปรตีนได้เร็วกว่าถั่วเหลืองเกือบ 10 เท่าในพื้นที่เท่ากัน สามารถเพิ่มปริมาณได้ถึง 2 เท่าในทุก 3-5 วัน สามารถรับประทานได้ทั้งต้น และยังช่วยดูดซับคาร์บอนจากอากาศได้ถึง 3 เท่าของป่าในพื้นที่เท่ากัน

 

 

“แต่ไข่ผำก็มีข้อเสีย เนื่องจากมีอายุการเก็บรักษาสั้นมากจึงจําเป็นต้องมีการยืดอายุการเก็บรักษา ซึ่งวิธีที่เหมาะสมที่สุดคือการใช้เทคโนโลยีฟรีซดราย (Freeze Drying) ที่ช่วยรักษารสชาติ เนื้อสัมผัส และคุณค่าทางโภชนาการของไข่ผำไว้ได้ นั่นจึงทำให้เป็นโอกาสของ PFS ในการถนอมอาหารไข่ผำเพื่อส่งออกเป็น Super Food สู่ผู้บริโภคทั่วโลก” ผศ.ดร.วิษุวัต สงนวล กล่าวอธิบาย

 

เทคโนโลยีช่วยให้อาหารเข้าถึงผู้บริโภค

Personalized Nutrition หรือ โภชนาการเฉพาะบุคคล เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความต้องการเฉพาะบุคคลมากขึ้น รวมไปถึงการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ช่วยให้ธุรกิจอาหารสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เฉพาะเจาะจงตัวบุคคลมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการแพ้อาหาร เช่น อาหารที่ปรับแต่งตาม DNA ของแต่ละบุคคล อาหารที่ปรับแต่งตามเป้าหมายด้านสุขภาพ ซึ่งเทรนด์ Personalized Nutrition มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต จะช่วยให้ธุรกิจสามารถใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น พร้อมนำเสนอประสบการณ์การบริโภคอาหารที่ตรงใจมากยิ่งขึ้น

“อีกสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือเรื่องของ Sustainable Packaging ซึ่งจะช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของบรรจุภัณฑ์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม โดยบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รีไซเคิลได้หรือย่อยสลายได้ทางชีวภาพ จะช่วยให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์” เชอร์รี่ เขมอัปสร กล่าวเสริม

Food Technology หรือ เทคโนโลยีอาหาร ซึ่งทาง PFS เข้าใจในเรื่องเทคโนโลยีนวัตกรรมเป็นอย่างดี ซึ่งเทคโนโลยีช่วยให้ธุรกิจอาหารสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุน ยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์และเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีนวัตกรรมจึงเป็นโอกาสในการเติบโตและประสบความสำเร็จของธุรกิจอาหารในยุคดิจิทัล

 

 

ถือเป็นธุรกิจที่น่าจับตามอง เพราะหลังจากนี้ PFS แม้จะยังคงอยู่หลังบ้านของหลายธุรกิจในฐานะผลิตภัณฑ์อบแห้งแล้ว อีกขาหนึ่งคือการออกมาสร้างแบรนด์ของตัวเอง ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นความท้าทายของธุรกิจในยุคที่การแข่งขันในตลาดค่อนข้างสูงและยังเป็นตลาดที่มีเจ้าตลาดหลักครองอยู่ แต่ด้วยคุณภาพของสินค้าและการรุกตลาดอย่างจริงจัง อาจเปลี่ยนจากผู้ท้าชิงให้กลายเป็นผู้นำตลาดได้

 

#PFS #PreservedFoodSpecialty #SynergyofSuccess #ครบรอบ30ปีPFS

 

 


  • 16
  •  
  •  
  •  
  •