หากยังจำกันได้ช่วงสถานการณ์ COVID-19 ช่วงต้นปีที่ผ่านมา นอกจากธุรกิจการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบทางตรงแล้ว ยังมีอีกหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม ซึ่ง “ธุรกิจน้ำมัน” ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยเฉพาะเมื่อการเดินทางลดลงหรือถูกจำกัดจากทุกประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง แม้จะมีการปรับลดราคาลงมาเพื่อกระตุ้นการใช้น้ำมันแต่ก็ไม่เป็นผล
โดยก่อนหน้านี้กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (OPEC) เผชิญกับปัญหาความผันผวนราคาน้ำมันดิบ เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกเคยพุ่งทะยานแตะระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จน OPEC ต้องเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อปรับราคาให้สมดุล ประกอบกับการถือกำเนิดของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหม่ (OPEC+) ที่นำโดยรัสเซีย ยิ่งช่วยเพิ่มกำลังการผลิตจนปริมาณน้ำมันล้นตลาด ส่งผลให้ราคาน้ำมันต่ำลงอย่างมาก
ทำให้ OPEC และ OPEC+ ต้องร่วมมือกันในการบริหารจัดการเพื่อปรับราคาให้อยู่ในระดับที่สมดุล โดยมีแผนระยะยาวเป็นขั้นบันไดในการปรับลดกำลังการผลิต เพื่อดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่สถานการณ์โรคระบาดก็ฉุดราคาน้ำมันให้ดำดิ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์เฉลี่ยอยู่ที่ 20-25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แม้ว่าช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์จะผ่อนคลายลง แต่ควมต้องการใช้น้ำมันยังคงไม่กลับมาเท่าระดับเดิม
โดยด้าน OPEC ยังมองเห็นปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่ยังคงฉุดรั้งราคาน้ำมันโลกให้ปรับตัวขึ้นได้ช้า หนึ่งในนั้นคือปัจัยด้านเศรษฐกิจโลกที่จะค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างช้าๆ และต้องระยะเวลาอีกหลายปีกว่าการเดินทางทั่วโลกจะกลับเข้าสู่ระดับปกติเหมือนช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โรคระบาด ทำให้ควมต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
ขณะที่สมาชิกของทั้ง 2 กลุ่มบางราย อาทิ UAE และรัสเซีย กลับต้องการเพิ่มกำลังการผลิตอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ซาอุดิอาระเบียในฐานะผู้นำ OPEC จะเรียกประชุมเพื่อเจรจาการดำเนินการภายใต้ความระมัดระวัง เนื่องจากหลายประเทศทั่วโลกยังคงประสบปัญหาการแพร่ระบาดและหลายประเทศยังคงมีมาตรการจำกัดการเดินทาง ทำให้ควมต้องการใช้น้ำมันอยู่ในระดับที่จำกัด
โดย OPEC คาดว่า ความต้องการน้ำมันทั่วโลกโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจะเพิ่มขึ้นเป็น 95.9 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2564 หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเฉลี่ย 5.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยช่วงก่อนการแพร่ระบาด COVID-19 ทั่วโลกมีปริมาณการใช้มากกว่า 100 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่ง OPEC มองว่ายังยากที่ครึ่งปีแรกของปี 2564 จะขึ้นมาอยู่ในระดับเดิม
Source: Reuters