ในยุคปัจจุบันนี้ สิ่งที่อยากรู้หรือข้อมูลต่างๆ สามารถหาได้ง่ายในโลกโซเชียล โดยเฉพาะการรีวิว ซึ่งถือเป็น 1 ใน Customer Journey ก่อนจะเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ แต่บางครั้งการหาข้อมูลในโลกโซเชียลก็พาให้สับสนได้เช่นกัน คนนั้นก็บอกว่าดีแต่อีกคนดันบอกไม่ใช่ แล้วทีนี้จะเชื่อใครดี ใครจะอยากอยู่ในสถานการณ์ “ตาดีได้ตาร้ายเสีย” แล้วถ้าตาร้ายขึ้นมาได้ของไม่ดีแย่เลยทีนี้
คนที่อยู่ในอาการนี้คงหนีไม่พ้นเหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ที่เรียกว่าการขนส่งคือต้นทุนที่สำคัญอย่างหนึ่ง หลายครั้งที่มีการหารีวิวในโลกโซเชียลเพื่อหาบริษัทขนส่งที่ดีที่สุด แล้วเมื่อตัดสินใจจะใช้บริการขนส่งของที่นี่ ก็มักจะมีรีวิวใหม่ที่เป็นข้อด้อยของบริษัทนี้เช่นกัน แล้วพอไปหาข้อมูลของอีกบริษัทก็จะพบรีวิวที่ดีและไม่ดีเหมือนกัน สรุปจะเลือกบริษัทขนส่งไหนดี
ทำให้ทุกครั้งที่ต้องส่งสินค้าเหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มักจะเป็น “ห่วง” โดยเฉพาะ 4 ข้อห่วงกังวลสำคัญที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ถือเป็น Pain Point ทุกครั้งที่มีการขนส่ง ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่ Ninja Van ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุด่วนได้รวบรวมข้อมูลความกังวลของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์จนเกิดเป็นแคมเปญ “หมดห่วงทุกเรื่องพัสดุ”
4 ห่วงใหญ่ของการขนส่ง
สำหรับ Pain Point ที่ Ninja Van สำรวจมาได้เปิดเผยถึงความกังวลของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ที่มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เลือกใช้บริการขนส่ง โดยแบ่งออกเป็น 4 ห่วงใหญ่ ห่วงแรกคือ การส่งช้า อย่างที่ทราบกันว่า ประสบการณ์ของผู้บริโภคถือเป็นสิ่งสำคัญ การได้รับสินค้าช้าผู้บริโภคจะเกิดประสบการณ์ที่ไม่ดีกับร้านค้ามากกว่าบริษัทขนส่ง
สินค้าพัง หรือ หาย อีกหนึ่งข้อห่วงกังวลของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์คือสินค้าเสียหายหรือสูญหายระหว่างขนส่ง เพราะนอกจากจะสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้กับลูกค้าแล้ว ยังก่อให้เกิดต้นทุนที่สูงขึ้นจากการนำสินค้ามาเปลี่ยนใหม่ หรือสูญเสียต้นทุนไปเปล่าๆ กับสินค้าที่สูญหายระหว่างการขนส่ง รวมถึง ค่าส่งแพง ซึ่งทำให้ต้นทุนสินค้าแพงขึ้นและทำให้โอกาสการขายน้อยลง
อีกหนึ่งข้อห่วงกังวลของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ คือ การได้รับเงินเก็บปลายทางช้ากว่ากำหนด แน่นอนว่าการขายสินค้าเก็บเงินปลายทางมีความเสี่ยงจากการถูกยกเลิก แต่มีความเสี่ยงยิ่งกว่า หากได้รับเงินจากบริษัทขนส่งช้า เนื่องจากเงินเหล่านั้นจะถูกนำไปเป็นต้นทุนในการขายสินค้าออนไลน์ครั้งต่อไป ยิ่งได้เงินช้าโอกาสนำไปเป็นต้นทุนเพื่อขายสินค้าครั้งต่อไปก็ยิ่งช้าลง
Ninja Van ปลด “มนุษย์ห่วง”
เพราะ Ninja Van เข้าใจถึงความห่วงกังวลของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์จนเกิดเป็นแคมเปญ “หมดห่วงทุกเรื่องพัสดุ” ที่มีเป้าหมายในการปลดทุกห่วงของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ในการเลือกใช้บริการขนส่ง โดยแคมเปญดังกล่าวจะเน้นการปลดล็อคเพื่อให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ไม่ต้องเป็น “มนุษย์ห่วง” อีกต่อไป
เริ่มจากการสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านจุดต่างๆ ที่เป็นแหล่งชุมชนโดยการให้ทีมงานนำห่วงยางที่มีข้อความถึง 4 Pain Point หลักในการส่งพัสดุ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นห่วงในการส่งพัสดุแต่ละครั้ง ช่วยสร้างความสนใจให้กับผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา และต้องการทราบถึงวิธีปลดห่วง 4 Pain Point เหล่านั้นออก
โดยเริ่มจากการรับประกันส่งไว หากส่งช้ากว่า 2 วัน Ninja Van จะไม่คิดค่าส่ง ช่วยปลดล็อคความห่วงกังวลเรื่องการส่งช้า หรือหากเกิดความเสียหายรวมไปถึงการสูญหาย Ninja Van พร้อมชดใช้ค่าเสียหายตามราคาสินค้าสูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งรวมไปถึงพัสดุสูญหายด้วยเช่นกัน เป็นการปลดล็อคความห่วงกังวลเรื่องสินค้าเสียหายหรือสูญหายได้
ที่สำคัญกรณีเรียกเก็บเงินปลายทางผู้ส่งสามารถได้รับเงินในวันถัดไปได้หลังสินค้าถึงมือผู้รับช่วยปลดล็อกความห่วงกังวลได้รับเงินช้า และ Ninja Van ยังรับประกันการที่ให้บริการในราคาที่คุ้มค่า ช่วยปลดล็อกความห่วงกังวลเรื่องค่าส่งพัสดุ พร้อมกันนี้ยังได้ วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา มาเป็นพรีเซ็นเตอร์สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการของ Ninja Van
เสริมความแกร่งรองรับการเติบโต
สำหรับแคมเปญ “มนุษย์ห่วง” จะเน้นสร้างแบรนด์ที่พร้อมช่วยเหลือลูกค้าลดความยุ่งยาก เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจ และสร้างประสบการณ์ที่ดี นอกจากนี้ Ninja Van ยังได้เพิ่มศักยภาพเพื่อให้ลูกค้าหมดห่วง ด้วยการเสริมทีมงานฝ่ายปฏิบัติการอีก 120% และขยายจุดให้บริการให้มากขึ้นและครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมีแผนเพิ่มศูนย์กระจายสินค้า 200 แห่ง รวมถึงขยายหน้าร้านจุดรับส่งพัสดุกว่า 2,000 แห่งภายในสิ้นปี
ไม่เพียงเท่านี้ Ninja Van ยังได้เตรียมพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่บนมือถือ ซึ่งจะช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์สะดวกในการให้ Ninja Van เข้ามารับสินค้า พร้อมเปิดสายด่วน Ninja Van ผ่านช่องทาง Line Official Account โดยมีการเพิ่มฟีเจอร์ Chat เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการจับมือกับพันธมิตรในการเสริมรูปแบบการให้บริการใหม่ๆ
เรียกได้ว่าทั้งหมดนี้คือ แคมเปญที่จะมาช่วยให้การทำตลาดอย่างจริงจังของ Ninja Van เห็นภาพได้อย่างชัดเจนมากขึ้น หลังเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยนานกว่า 6 ปีและเรียกได้ว่าเป็นแคมเปญที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่พบว่า ตลาด e-Commerce ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการเติบโตของตลาดขนส่งพัสดุ