ผู้อำนวยการหลักสูตร MPPM NIDA มองภาครัฐยังต้องเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 61 เสริมการท่องเที่ยวและการส่งออกที่เฟื่องฟูตามปัจจัยและกำลังซื้อจากภายนอกประเทศ แนะรัฐเร่งรัดลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ประโยชน์จาก AEC และ FTA กับยุโรป คาดปี 61 เติบโตได้ 4.0% – 4.5% หนุนตลาดทุนร้อนแรงดันดัชนีอยู่ในกรอบ 1,875 – 1,925 จุด สูงสุดนับตั้งแต่ที่มีการเปิดตลาดหลักทรัพย์ฯ มา
รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับนักบริหาร (MPPM Executive program) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 61 ยังเติบโตได้ 4.0% – 4.5% จากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ประมาณ 3.8% เนื่องจากแนวโน้มต่างประเทศส่งสัญญาณเชิงบวกทั้งจากฝั่งยุโรปที่ส่งสัญญาณฟื้นตัวจากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และการคงมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ รวมถึงสัญญาณการทำ FTA กับประเทศไทย ซึ่งเป็นผลเชิงบวกต่อภาคการค้าและภาคการส่งออกของไทยขณะเดียวกันทางสหรัฐอเมริกา ที่คาดว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีเช่นกันจากการดำเนินนโยบายปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 35% เหลือ 21% ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป ที่ช่วยกระตุ้นการลงทุนให้เพิ่มสูงขึ้นและประเมินว่า เฟด จะประกาศปรัรบดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.5% อีก 2-3 ครั้งในปี 2561 นี้
ส่วนคู่ค้าสำคัญของไทยอย่างประเทศญี่ปุ่น ก็มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายประการที่จะต้องดำเนินการต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการ QE และประเทศจีนมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมเงินทุนไหลออก มาตรการกระตุ้นการบริโภคภายใน ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตต่อเนื่องได้อีกหลายปีโดยประมาณ 6.5% – 7% และอาเซียนซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย ถือครองสัดส่วนการส่งออกของไทยมากถึง 25.7% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ก็ส่งสัญญาณเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV เฉลี่ยแล้วตลอดทั้งปี กลุ่มอาเซียนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 6%
นอกจากนี้ กระแสความนิยมของประเทศไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต่างประเทศ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวถึง 20.9% ส่วนในแง่รายได้เติบโต 24.4% โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน ที่ยังให้ความสนใจเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นอันดับ 1 รองจากยุโรป ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้ว่า ปัจจัยภายดังกล่าวจะเป็นผลเชิงบวกต่อภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออกของไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งประเมินว่าในปี 61 ภาคการส่งออกของไทยจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 6%
ผู้อำนวยการหลักสูตรการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน MPPM NIDA กล่าวว่า ส่วนปัจจัยบวกในประเทศนั้นภาครัฐ ยังคงใช้นโยบายการคลังเพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเร่งการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 60 ที่ยังคงค้างอยู่และจัดตั้งงบประมาณปี 61 ที่สูงถึง 2.9 ล้านล้านบาท รวมถึงงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีมากถึง 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศที่มุ่งเป้าไว้ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง โดยภาครัฐมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาลหลายโครงการ ที่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างอย่างเป็นรูปธรรม ช่วยก่อให้เกิดการจ้างงานและรายได้ให้เพิ่ม นอกจากนี้การกำหนดการเลือกตั้งจะส่งผลเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นในสายตาต่างประเทศและบรรยากาศในการลงทุน และมีผลต่อการขับเคลื่อนภาคการลงทุนที่ขอผ่านทาง BOI ได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ต้องระมัดระวังในปี 61 คือ เศรษฐกิจฐานรากของไทยที่ยังฟื้นตัวช้ากว่าที่เป็น เพราะสัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงอยู่ แม้ว่าภาครัฐจะเร่งรัดลงทุนหลายโครงการเป็นจำนวนมาก แต่การกระจายตัวเม็ดเงินของรายได้ยังไม่ดีนัก รวมถึงการกระจายตัวของประโยชน์จากนโยบายช่วยเหลือเกษตรกร และ SMEs ซึ่งหากสามารถดำเนินการแก้ไขในจุดเหล่านี้ได้ เชื่อมั่นว่าจะเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 61 สดใสมากขึ้น
“เรามองภาพรวมปีหน้า หากรัฐบาลลุยขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยงบลงทุนผ่านการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดิน การเร่งดำเนินการโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ให้เป็นรูปธรรมชัดเจน ตลอดจนการสร้างความเชื่อมั่นด้วยการเลือกตั้ง มาตรการช่วยเหลือ SMEs และเกษตรกร และเงื่อนไข AEC ที่ยังคงเป็นโอกาสและเป็นผลเชิงบวกต่อการลงทุนให้กับประเทศได้ คาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะโตได้ดีกว่าปีนี้อย่างแน่นอน” รศ.ดร.มนตรี กล่าว
ขณะที่การคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีแนวโน้มทรงตัวที่ระดับ 1.5% ส่วนระดับอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในช่วง 1.0% – 1.5% และค่าเงินบาทคาดว่าจะอยู่ในระดับ 31 – 33 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ และ SET index น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,875 – 1,925 จุด นับว่าเป็นสถิติของตลาดหลักที่สูงที่สุดตั้งเปิดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา