เจาะกลยุทธ์ MG หลังส่ง NEW MG MAXUS 9 รถ MPV ไฟฟ้าลุยตลาด Luxury เจ้าแรกในไทย พร้อมประกาศเปิดโรงงานผลิตแบตเตอรี่ EV ช่วยผลักดันอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในไทย

  • 2.1K
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ยังคงตอกย้ำสถานะผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของเมืองไทยได้ชัดเจน ด้วยการเป็นแบรนด์ที่มีรถยนต์ไฟฟ้าให้เลือกมากถึง 5 รุ่น หลากหลายดีไซน์ ซึ่งโมเดลล่าสุด NEW MG MAZUS 9 รถยนต์ MPVไฟฟ้า 100% แบบ 7 ที่นั่ง และเป็นครั้งแรกที่ MG ลงมาลุยตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียมด้วยราคาเริ่มต้นที่ 2.499 ล้านบาท นอกจากนี้ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคด้วยการประกาศเปิดโรงงานผลิตชิ้นส่วนโมดูลแบตเตอรี่ ในนิคมอุตสาหกรรม WHA ESIE 2 ที่จังหวัดชลบุรีด้วยเงินลงทุนกว่า 500 ล้านบาท

เป็นที่ทราบกันดีว่า MG เป็นแบรนด์ที่มีรถยนต์ไฟฟ้าให้เลือกมากที่สุดในตลาดประเทศไทย และทำให้คนไทยเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้นนับตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำตลาด EV ในประเทศไทยอย่างจริงจัง โดยมีการทยอยเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่นตั้งแต่ NEW MG ZS EV, NEW MG EP, NEW MG 4 ELECTRIC มาจนถึงปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่ MG เปิดตัวรถไฟฟ้ามากถึง 2 รุ่น ทั้ง NEW MG ES และโมเดลล่าสุด NEW MG MAXUS 9 และในแต่ละปี MG ก็ครองใจผู้ซื้อรถ EV ชาวไทยมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันส่งมอบรถไฟฟ้าให้กับลูกค้าคนไทยแล้วกว่า 10,000 คัน ครองตำแหน่งผู้นำตลาด EV หลายปีต่อเนื่อง

 

เปิดตลาด Luxury ด้วย NEW MG MAXUS 9 รถ e-MPV คันแรกของไทย

แม้ในตลาดรถยนต์ EV จะมีตัวเลือกให้มากมายแต่สำหรับรถอเนกประสงค์ระดับ Luxury แบบ MPV นั้นตลาดไทยยังไม่มีตัวเลือกที่เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% เลย ล่าสุด MG ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้เปิดน่านน้ำใหม่ของตลาดรถยนต์ EV ในประเทศไทย ก้าวเข้าไปเป็นผู้เล่นในตลาด Electric Multi-Purpose Vehicle (e-MPV) เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทยด้วยโมเดล NEW MG MAXUS 9 พร้อมกับเปิดราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2.499 ล้านบาทในรุ่น X – Luxury และราคา 2.699 ล้านบาทในรุ่น V – Super Luxury

 

 

เรียกว่าเป็นการเปิดตลาด e-MPV ด้วยราคาที่น่าสนใจ เป็นรถยนต์ที่สามารถเดินทางกันไปได้ทั้งครอบครัว มีจุดเด่นทั้งงานดีไซน์ที่หรูหรามาพร้อมกับประตูสไลด์ไฟฟ้าทั้งสองฝั่ง ฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า ความเหนือชั้นของโมเดลนี้คือฟังก์ชันอำนวยความสะดวกที่ใส่ในทุกตำแหน่งที่นั่ง ไม่เว้นแม้แต่ตำแหน่งผู้ขับขี่ที่ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง กระจกมองหลังแบบ Streaming Media Rearview Mirror หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอกลางแบบทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้ว และความเหนือระดับอยู่ที่เบาะแถวที่สองแบบ VIP Captain Seat ซึ่งรังสรรค์ความพิเศษด้วยประสบการณ์เช่นเดียวกันกับที่นั่ง First Class บนเครื่องบิน โดยมีระบบบันทึก ระบบนวดที่มีให้เลือกมากถึง 8 โปรแกรม และสามารถปรับระดับอุณหภูมิได้ตามความต้องการ

 

 

และที่สำคัญคือ NEW MG MAXUS 9 ซึ่งเป็น e-MPV หนึ่งเดียวในไทยที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุดที่ 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตันเมตร แบตเตอรี่แบบลิเธี่ยมไอออน จัดวางแบบ Cell-To-Pack ขนาดความจุ 90 kWh ให้ระยะวิ่งสูงสุดที่ 540 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC พร้อมรองรับการชาร์จเร็วสูงสุดที่ 120 kWh โดยชาร์จไฟจาก30% – 80% ใช้เวลาเพียง 30 นาที และการชาร์จแบบธรรมดา รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 11 kWh โดยชาร์จไฟจาก 5% – 100% ในเวลาประมาณ 8 ชั่วโมงครึ่ง

ด้วยคุณสมบัติการเป็นรถครอบครัว ระบบความปลอดภัยจึงถูกใส่มาครบครัน และมากถึง 25 ระบบ ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่งรอบคัน ติดตั้งกล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3D ช่วยในเรื่องการขับขี่ได้ดี และการรันตีด้วยมาตรฐานความปลอดภัย EURO NCAP และ ANCAP

 

เรียกได้ว่าเป็นอีกกลยุทธ์ในการขยายกลุ่มลูกค้า เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่สนใจรถยนต์ MPV ซึ่งกระแสตอบรับดีเกิดคาด โดยทาง MG ประกาศชัดว่าจะสามารถส่ง NEW MG MAXUS 9 ให้ถึงมือลูกค้าได้ไม่ต่ำกว่า 500 คันในเดือนมิถุนายน 2566

นอกจากนี้ MG ได้ทลายข้อจำกัดเกี่ยวกับการใช้งานรถไฟฟ้าด้วยการสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า ให้สามารถรองรับการใช้งานรถ EV ในทั่วประเทศ ด้วยการขยายเครือข่ายสถานี MG SUPER CHARGE STATION ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วกว่า 130 แห่ง ทั่วประเทศ รวมถึงขยายศูนย์บริการทั่วประเทศให้สามารถรองรับบริการรถยนต์ไฟฟ้าของลูกค้า MG ที่เพิ่มมากขึ้น

 

MG ทุ่ม 500 ล้าน สร้างโรงงานแบตเตอรี่ EV

อีกหนึ่งย่างก้าวสำคัญของ MG และร่วมผลักดันอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยด้วยการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ด้วยการเข้าไปพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่ 475.5 ไร่ มี ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ได้ถูกพัฒนาให้ใช้งานได้แล้วกว่า 300 ไร่ ประกอบด้วย โรงงานประกอบตัวถัง (General Assembly Shop) โรงงานพ่นสีรถยนต์ (Paint Shop) โรงผลิตตัวถัง (Body Shop) ที่ดำเนินการไปเรียบร้อยแล้วโดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 100,000 คันต่อปีสำหรับการจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกไปยังต่างประเทศ จ่อเตรียมพัฒนาที่ดินส่วนที่เหลืออีก 137.5 ไร่ โดยช่วงแรกจะพัฒนาให้เป็นพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ด้วยเงินลงทุน 500 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 75 ไร่ เพื่อให้รองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ประกอบไปด้วย อาคารโรงงานสำหรับการพัฒนาชิ้นส่วนโมดูลแบตเตอรี่ รวมถึงไลน์การผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าของ MG และพื้นที่สำหรับพัฒนาชิ้นส่วนสำหรับการประกอบรถยนต์ MG ร่วมกับพาร์ทเนอร์บริษัทชั้นนำด้วยตั้งเป้าแล้วเสร็จพร้อมใช้งานภายในเดือนตุลาคม 2566 นี้

 

 

ในอนาคตอันใกล้หาก MG สามารถผลิตรถไฟฟ้าในประเทศไทยได้ นอกจากจะทำให้ราคาขายจากเดิมที่เข้าถึงง่ายอยู่แล้ว ก็จะง่ายขึ้นกว่าเดิม มีบริการจัดส่งอะไหล่ที่รวดเร็ว การขับเคลื่อนครั้งนี้ดูจะส่งผลดีต่อลูกค้าคนไทยไม่น้อย


  • 2.1K
  •  
  •  
  •  
  •