TOYOTA เล็งปรับทิศทางใหม่บุกตลาด EV เต็มสูบ สู่การเป็นผู้นำทุกเซ็กเม้นต์

  • 11
  •  
  •  
  •  
  •  

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา TOYOTA ถือเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ทั่วโลกด้วยยอดขายที่มากที่สุด ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ TOYOTA มีรถยนต์ที่เรียกได้ว่าครบทุกเซ็กเม้นต์ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งตั้งแต่ระดับ Eco City Car ไปจนถึงระดับ Luxury Car ภายใต้แบรนด์ Lexus หรือกลุ่มรถยนต์ครอบครัวอเนกประสงค์ และกลุ่มรถเพื่อการพาณิชย์ทั้งแบบรถกระบะและรถตู้ นอกจากนี้ TOYOTA ยังเรียกได้ว่าเป็นแบรนด์แรกๆ ที่จับกลุ่มรถยนต์ Hybrid

จนกระทั่งเมื่อการมาถึงของรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ที่ถูกมองว่าเป็นยานพาหนะเพื่อสิ่งแวดล้อม TOYOTA กลับดูไม่กระตือรือร้น แต่หันไปให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี Hybrid และพลังงานไฮโดรเจนที่ค่ายรถยนต์ทั่วโลกกำลังให้คาวมสนใจ เนื่องจากไฮโดรเจนถูกมองว่าเป็นพลังงานที่ไม่มีวันหมดและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ 100% มากกว่า EV ที่กระบวนการผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่ยังเป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม

แต่หลังการปรับเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูงของ TOYOTA อย่างนาย Koji Sato ที่มีเป้าหมายในการแข่งขันให้เป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 1 ของโลก โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการกับความมั่นคงด้านพลังงานและความเป็นกลางทางคาร์บอน แต่เมื่อมองดูตลาด EV จะพบว่า TOYOTA ยังตามหลังผู้ผลิตรถยนต์ EV หลายค่าย โดยเฉพาะจากประเทศจีน นั่นจึงทำให้ TOYOTA เตรียมเปลี่ยนจากผู้ผลิตรถยนต์ทั่วไปให้กลายเป็นบริษัทผู้นำด้านการขับเคลื่อน

ทั้งนี้ Sato เพิ่งเข้ารับตำแหน่งผู้นำของ TOYOTA เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ถือเป็นผู้บริหารระดับสูงนอกตระกูล Toyoda ผู้ก่อตั้ง TOYOTA ครั้งแรกในรอบ 14 ปี โดย Sato ตั้งเป้าหมายยอดขายรถยนต์ EV ไว้ที่ 1.5 ล้านคัน โดยเตรียมส่งรถยนต์ EV รุ่นใหม่ถึง 10 รุ่นภายในปี 2026 ขณะที่ทาง TOYOTA เองตั้งเป้าเพิ่มยอดขายรถยนต์ EV เป็น 3.5 ล้านคันในปี 2030

ในปีที่ผ่านมา TOYOTA สามารถสร้างยอดขายรถยนต์ทั่วโลกได้ 10.48 ร้านคัน ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ EV สามารถขายได้เพียง 24,000 คัน ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับ Tesla ผู้นำในตลาดรถยนต์ EV ที่สามารถขายรถยนต์ EV ได้สูงถึง 1.31 ล้านคัน และกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ Volkswagen ที่สามารถขายรถยนต์ EV ได้ถึง 572,100 คัน

โดย TOYOTA มองว่า สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในตลาดรถยนต์เร็วมาก ส่งผลให้ TOYOTA ต้องเร่งการปรับเปลี่ยน เพราะสิ่งที่ TOYOTA กำลังแข่งขันอยู่ไม่ใช่คู่แข่งในจีนหรือยุโรป แต่กำลังแข่งขันกับรัฐบาลทั่วโลก ในการตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะช่วยให้ TOYOTA สามารถตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันสำหรับกฎการปล่อยมลพิษของแต่ละประเทศได้ดีขึ้น

นักวิเคราะห์เชื่อว่า กลยุทธ์ความหลากหลายของ TOYOTA ยังคงมีความเหมาะสม เนื่องจากบางประเทศยังคงต้องพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงอย่างมากในระยะเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดในตลาดนั้น หรือหากในประเทศที่ยังมีกำลังซื้อไม่มากพอที่จะซื้อรถยนต์ EV หรือรถยนต์พลังงาน Fuel Cell ที่มีราคาค่อนข้างแพง รถยนต์ Hybrid ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังมองว่า แม้ผู้ผลิตรถยนต์มองว่า ยังมีพลังงานรูปแบบอื่นๆ ที่สามารถดูแลสิ่งแวดล้อมได้ แต่รถยนต์ EV ดูเหมือนจะเป็นเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มมากที่สุดในปัจจุบันที่สามารถบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ในระยะยาว และการที่ TOYOTA ยังไม่เข้าสู่ตลาด EV หรือเข้าตลาดช้าเกินไปอาจขัดขวางการเติบโตและเป้าหมายผูนำตลาดรถยนต์ทั่วโลกได้ในอนาคต

โดยยอดขายรถยนต์ EV ทั่วโลก คาดว่าจะสามารถเพิ่มยาดขายขึ้นได้ถึงประมาณ 73 ล้านคันในปี 2040 จากที่มียอดขายประมาณ 2 ล้านคันในปี 2020 ที่ผ่านมา คิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 61% ของตลาดโดยรวม ที่สำคัญนักวิชาการยังมองว่า TOYOTA ควรจัดทีมพัฒนาแบตเตอรี่รถยนต์ EV ทั้งนี้ TOYOTA ยังให้คำมั่นว่าจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ Lexus ภายในปี 2035

อาจกล่าวได้ว่า การเปิดตัว bZ4X รถยนต์ EV รุ่นแรกของ TOYOTA ไม่สวยหรูเนื่องจากเกิดปัญหาในกระบวนการผลิตที่ต้องหยุดลงถึง 2-3 เดือนหลังการเปิดตัว แต่ TOYOTA ก็ยังเตรียมแผนการขายรถยนต์ EV ใหม่หลังนาย Sato เข้ารับตำแหน่ง โดยมีแผนผลิตรถยนต์อเนกประสงค์แบบสปอร์ตที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ในสหรัฐฯ ช่วงปี 2025 ขณะที่แผนการผลิต bZ4X และ UX300e ภายใต้แบรนด์ Lexus ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

 

Source: Japan Today


  • 11
  •  
  •  
  •  
  •  
Gigolo
เมื่อเทคโนโลยีอยู่ใกล้กับชีวิตทุกคน มารู้เท่าทันเทคโนโลยีเพื่อใช้มัน แต่อย่าให้เทคโนโลยีมันใช้เรา