หลังจากปี 2017 “Nestlé” (เนสท์เล่) เข้าซื้อหุ้นกิจการ Specialty Coffee “Blue Bottle Coffee” มีทั้งเชนร้านกาแฟ และโรงคั่วกาแฟ ทั้งในสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, เกาหลี และจีน รวมทั้งผลิตภัณฑ์กาแฟต่างๆ ในสัดส่วน 68% ด้วยมูลค่ากว่า 425 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ Nestlé กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แบรนด์นี้ทันที
การเข้าถือหุ้นใหญ่ใน “Blue Bottle Coffee” ทำให้ต่างใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่าย มาผนึกกำลังกัน เพื่อสร้าง Win-Win ให้กับทั้งสองฝ่าย นั่นคือ
– “Nestlé” ใช้จุดแข็งและศักยภาพของ “Blue Bottle Coffee” ซึ่งเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งในตลาด Specialty Coffee และมีตลาดใหญ่ในสหรัฐฯ จึงได้ทั้ง Know how และเติมเต็ม Portfolio ธุรกิจกาแฟ ทำให้ “Nestlé” มีแบรนด์กาแฟครอบคลุมตั้งแต่แมส จนถึงพรีเมียม ด้วยแบรนด์ Nescafé, Nespresso, Nescafé Dolce Gusto, สิทธิ์ในแบรนด์ Starbucks สำหรับผลิตภัณฑ์บรรจุห่อ และแบรนด์ Blue Bottle Coffee พร้อมทั้งช่วยเสริมความแข็งแกร่งในตลาดกาแฟของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดกาแฟใหญ่ของโลก
– “Blue Bottle Coffee” ใช้ความแข็งแกร่งของ “Nestlé” ในฐานะเป็นผู้ผลิตกาแฟที่ทำตลาดกว่า 180 ประเทศทั่วโลก และมีความเชี่ยวชาญ กับความแข็งแกร่งในตลาดรีเทล ทั้งกาแฟผงสำเร็จรูป (Instant Coffee), กาแฟ 3 in 1 และกาแฟพร้อมดื่ม (Ready to drink) เพื่อช่วยขยายฐานแบรนด์ Blue Bottle Coffee ให้เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างขึ้น
อย่างล่าสุด “Blue Bottle Coffee” ได้เปิดตัว “กาแฟสำเร็จรูป Craft Espresso” (Craft Instant Coffee Espresso) โดยใช้เวลาในการพัฒนากว่า 3 ปีที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาของ Nestlé ในเมืองแมรีส์วิลล์ รัฐโอไฮโอ และที่สวิตเซอร์แลนด์ โดยใช้เมล็ดกาแฟเดียวกับที่ทำเครื่องดื่มเอสเปรสโซ หลังจากเมล็ดกาแฟผ่านการคั่วบดแล้ว เข้าสู่กระบวนการ Freeze Drying (การทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง) เพื่อรักษารสชาติ สามารถทำเครื่องดื่มลาเต้ร้อน หรือลาเต้เย็นก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องชงกาแฟ และใช้เวลาชงไม่นาน เพียงแค่ใส่น้ำ แล้วเติมนม ก็จะได้เครื่องดื่มกาแฟลาเต้ในมาตรฐานระดับร้าน Blue Bottle Coffee
การเข้าสู่ตลาดกาแฟสำเร็จรูปของ Blue Bottle ครั้งนี้ ตอบโจทย์แบรนด์ 3 ด้านหลักคือ
1. เพิ่มความสะดวกให้กับผู้บริโภค ทำเครื่องดื่มกาแฟในมาตรฐาน Blue Bottle Coffee ได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น เร็วขึ้น
2. เพิ่มโอกาสการบริโภคภายในบ้าน (In-home consumption) ให้กับแบรนด์ Blue Bottle Coffee เป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ใหญ่ของตลาดผลิตภัณฑ์กาแฟ ยิ่งทุกวันนี้ผู้บริโภคใช้ชีวิตรูปแบบ Hybrid มากขึ้น คือ ทำงานที่ออฟฟิศ สลับกับทำงานที่บ้าน จึงเป็นโอกาสใหญ่ของแบรนด์ในการเจาะเข้าบ้าน อีกทั้งตลาด In-home Consumption ก็เป็นจุดแข็งของ Nestlé จึงสามารถใช้พลัง synergy ในการผลักดันผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ให้แจ้งเกิด
นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาสการบริโภคทุกที่ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะไปแคมป์ปิ้ง หรือเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ก็สามารถพกกาแฟสำเร็จรูปนี้ติดตัวไปได้
3. เสริมตลาดกาแฟพรีเมียมของ Nestlé ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันทำให้แบรนด์ Blue Bottle Coffee ขยายฐานลูกค้ากว้างขึ้น
“เรานำประสบการณ์การจัดหาวัตถุดิบกาแฟ การคั่ว และการชงที่สั่งสมมาตลอด 20 ปี มา reimaging หรือคิดใหม่ในการพัฒนากาแฟสำเร็จรูป โดยให้ความสำคัญกับ 2 ขั้นตอนคือ การสกัด และการทำแห้ง เพื่อให้ได้กาแฟสำเร็จรูปคุณภาพสูง และรสชาติที่ดีกว่า โดยเรามองว่ากาแฟสำเร็จรูปจะช่วยสร้างประสบการณ์ Specialty Coffee ให้กับผู้บริโภคได้เช้าถึงง่ายขึ้น และเรามีแผนขยายพอร์ตโฟลิโอกลุ่มผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป Craft Coffee อย่างต่อเนื่อง” Benjamin Brewer ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายนวัตกรรมและคุณภาพของ Blue Bottle Coffee กล่าว
ทั้งนี้ กาแฟสำเร็จรูป “Blue Bottle Craft Espresso” มีจำหน่ายทั้งแบบขวดโหล ชงได้ 12 แก้ว ราคา 25 ดอลลาร์สหรัฐ และแบบซองเดี่ยว (single-serve) ในราคา 15 ดอลลาร์สหรัฐ เริ่มวางจำหน่ายที่ร้าน Blue Bottle Coffee ในสหรัฐฯ 75 สาขา และทางออนไลน์
Source: Food Dive, Nestlé, Blue Bottle Coffee