“เก๋าตั้งแต่รุ่นพ่อ” สโลแกนนี้เชื่อว่าคนไทยทุกคนรู้จักกันดี และในช่วงปีที่ผ่านมานี้ ชื่อของ “นันยาง” น่าจะเข้ามาอยู่ในสายตาของทุกคนมากขึ้น ในรูปแบบที่แปลกใหม่และทันสมัยกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าผ้าใบสุดน่ารักสำหรับผู้หญิง “นันยางชูการ์” หรือจะเป็นรองเท้ารุ่นลิมิเต็ดที่ผลิตจากผ้าไหม หรือแม้แต่กระแสของรองเท้าแตะยางหูคีบที่ดูจะกลายเป็นแฟชั่นยอดนิยมมากขึ้น
ทุกอย่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่นี่คือผลลัพธ์ของความตั้งใจของทายาทรุ่นที่ 3 จักรพล จันทวิมิล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขาย ที่พึ่งคว้ารางวัล ASIA’s TOP Outstanding Youth Marketeer of The Year 2018 จาก Asia Marketing Federation (AMF) มาครอบครองและเป็นคนไทยคนแรกที่คว้ารางวัลนี้มาได้
ตลาดรองเท้านักเรียนในวันที่การแข่งขันที่สูงขึ้น แต่กลุ่มลูกค้ายังคงเท่าเดิม
คุณจักรพลได้กล่าวว่า ตลาดรองเท้านักเรียนนั้น มีการแข่งขันที่สูงขึ้นในทุก ๆ ปี เพราะมีทั้งแบรนด์ใหม่ที่เข้ามาทำตลาด แต่ลูกค้านั้นยังคงมีจำนวนเท่าเดิม แบ่งสัดส่วนได้เป็น เด็กนักเรียน 80% และพนักงานยูนิฟอร์ม 20% ทางนันยางจึงจำเป็นที่จะต้องทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง
ทุ่มงบการตลาด 70 ล้าน สำหรับปี 61 สานต่อแคมเปญ “ใส่ให้เต็มที่”
“ปีนี้นันยางคงไม่ได้แข่งในเรื่องของราคา แต่จะแข่งขันในเรื่องของคุณภาพมากกว่า”
สำหรับงบการตลาดของนันยางในปีนี้ ได้ตั้งงบไว้รวม ๆ ที่ 70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเล็กน้อย โดยคุณจักรพลได้เผยว่า ในปีนี้จะเป็นการสานต่อแคมเปญจากปีที่แล้ว “ใส่ให้เต็มที่” โดยในปีนี้คงจะไม่มีสินค้าใหม่ หรือการแข่งขันในด้านราคาแต่จะเป็นการพัฒนาและแข่งขันกับผู้เล่นอื่นในเรื่องของคุณภาพมากกว่า
การก้าวเท้าเข้าสู่โลกออนไลน์ และการสนับสนุนกลุ่ม “Social Commerce” ของแบรนด์นันยาง
“รองเท้าไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียว แต่ต้องใส่สบายด้วย”
ช่องทางออนไลน์เป็นอีกช่องทางที่แบรนด์นันยางนั้นเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ในปี 60 ที่ผ่านมานั้นเติบโต 500% แต่ยอดขายของทางออนไลน์นั้นยังไม่ได้สูงมากมายเท่าไหร่คิดเป็น 2% จากยอดขายทั้งหมด ด้วยปัญหาของการซื้อลองเท้านั้น เป็นสินค้าที่ต้อง ‘ลองสวมใส่’ ก่อนจะตัดสินใจซื้อแต่นี่ก็ยังคงเป็นช่องทางที่คุณจักรพลสนใจและเห็นโอกาส
โดยช่องทางการขายของ “นันยาง” ในโลกออนไลน์นั้นก็จะมีทั้งตาม Marketplace เช่น Lazada, Central Online แต่มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ทางคุณจักรพลให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยคุณจักรพลเรียกว่ากลุ่ม “Social Commerce” ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่สั่งซื้อของจากนันยางแล้วไปทำการขายต่อเอง เปิดเป้นร้านค้าออนไลน์ต่าง ๆ ขึ้นมาซึ่งมีทั้งการขายรองเท้าแบบเดิม ๆ จนไปถึงสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่มอย่าง รองเท้าแตะสลักลาย หรือเคสโทรศัพท์ช้างดาว ซึ่งคุณจักรพลได้กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างอารมณ์ดีว่า “ผู้ใช้งานเป็นคนที่โฆษณาได้ดีที่สุด”
การปรับค่าแรงขั้นต่ำไม่ส่งผลกระทบ เพราะแบรนด์จ่ายค่าแรงในอัตราที่สูงอยู่แล้ว
สำหรับประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่กำลังจะมีผลในวันที่ 1 เมษายนนี้ คุณจักรพลได้กล่าวว่า ไม่มีผลกระทบใด ๆ กับทางแบรนด์นันยาง เพราะทางแบรนด์ได้จ้างช่างฝีมือคนทำรองเท้าด้วยค่าแรงของช่างฝีมือ ซึ่งเป็นค่าแรงที่สูงอยู่แล้ว (เบื้องต้นอยู่ที่ 400 บาทต่อวัน)
คุณจักรพลได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “Challenge มาในทุกรูปแบบ สิ่งที่เราต้องทำคือ มองว่าเรานั้นถนัดอะไร หาข้อแตกต่างของตัวเองที่ผู้บริโภคยอมรับได้ แล้วเราก็ Focus พุ่งเป้าไปตรงจุด ๆ นั้น โอกาสเป็นสิ่งที่เข้ามาเยอะอยู่แล้ว เราต้องเลือกให้ดี ถ้าเราพุ่งเข้าใส่ทุก ๆ โอกาส อาจทำให้เราเดินไปผิดทางได้ ผมอยากให้สินค้าของเราอยู่ได้อีกเป็นสิบ ๆ ปี ไม่ใช่สร้างกระแสแค่ 5 เดือนแล้วก็จบไป”
