“MUJI” (มูจิ) เริ่มเข้ามาเปิดสาขาแรกในไทยที่เซ็นทรัลชิดลมเมื่อ 16 ปีที่แล้ว โดยห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลซื้อแฟรนไชส์เข้ามา ต่อมาในปี 2016 ได้ปรับเป็นโมเดลร่วมทุน จดทะเบียนภายใต้ “บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด” เพื่อต่อยอดแบรนด์ MUJI ในไทยให้เติบโตมากขึ้น ถึงปัจจุบันมี 26 สาขา โดยสาขาล่าสุด “The EmQuartier” (ดิ เอ็มควอเทียร์) ขนาด 1,500 ตารางเมตร โดยยังคงยึดหลักแนวคิดการออกแบบความเรียบง่ายและความเป็นธรรมชาติ
รวมทั้งมีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 8 – 10 สาขาภายในปี 2023 โดยจะขยายไปยังหัวเมืองในต่างจังหวัดมากขึ้น จากปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล และในต่างจังหวัด 2 แห่งคือ ชลบุรี และเชียงใหม่
นอกจากนี้ในอนาคต “MUJI ประเทศไทย” เล็งพัฒนาโมเดล “Flagship Store” ขนาดใหญ่กว่า 2 เท่าของสาขา MUJI The EmQuartier หรือประมาณกว่า 4,500 ตารางเมตร และไซส์เล็กเหมือนกับ “Convenience Store”
เดินหน้าขยายสาขาขนาด 1,500 ตารางเมตรขึ้นไป – ปักหมุด “The EmQuartier” สาขาใหญ่อันดับ 3 ในไทย
ยุทธศาสตร์การขยายสาขา “MUJI” ในประเทศไทยเวลานี้ โฟกัสที่การเปิดสาขาใหญ่ ขนาดตั้งแต่ 1,500 ตารางเมตรขึ้นไป เพราะมองว่าสามารถวางจำหน่ายสินค้าได้หลากหลาย และมอบประสบการณ์การช้อปได้ดีกว่าให้กับผู้บริโภค
เริ่มจากเปิด สาขาสามย่าน มิตรทาวน์ ในปี 2019 ขนาดกว่า 1,900 ตารางเมตร เป็นต้นแบบคอนเซ็ปต์สโตร์ที่มีสินค้าและบริการครบ รวมถึงมีร้านกาแฟภายในร้านสาขาแรก ถึงปัจจุบันเป็นสาขาที่มีขนาดใหญ่สุดในไทย จากนั้นในปี 2021 เปิดสาขาใหม่ขนาดใหญ่เพิ่มอีก 5 สาขา รวมทั้งปรับโฉมสาขาเดิมให้มีพื้นที่ใหญ่ขึ้นอีก 2 สาขา หนึ่งในนั้นคือ สาขาเซ็นทรัลชิดลม ขนาด 1,800 ตารางเมตร ใหญ่อันดับ 2 และเป็นสาขาแรกที่จำหน่ายกลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน เช่น เบนโตะ ข้าวปั้น เบเกอรี่อบสด ไอศกรีม
ขณะที่ล่าสุด “MUJI The EmQuartier” สาขาใหญ่อันดับ 3 ในไทย ด้วยขนาดร้านกว่า 1,500 ตารางเมตร ครอบคลุมพื้นที่เกิอบทั้งชั้น 2 ของอาคาร Building B และมีสินค้าให้เลือกกว่า 3,000 รายการ
เหตุผลที่เลือกเปิดที่ The EmQuartier เนื่องจากเป็นศูนย์การค้าที่ได้รับความนิยม และเป็นที่รู้จักของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่อาศัย และทำงานในไทย รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองที่มีกิจกรรมขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งของประเทศ เนื่องจากตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท ซึ่งเป็นย่านที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน สถานที่ราชการและสำนักงานขององค์กรระดับนานาชาติ ดังนั้นจึงเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการและพฤติกรรมการบริโภคที่หลากหลายและแตกต่าง
ชูกลยุทธ์ “Localization” ตอบโจทย์คนไทยมากขึ้น
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ MUJI ประเทศไทยทยอยปรับราคาสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคไทยเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น และสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ด้วยการใช้ KOL และ Influencer ชื่อดัง รวมถึง Micro Influencer และ YouTuber ในกลุ่มที่รักในแบรนด์ MUJI
นอกจากนี้ใช้ใช้กลยุทธ์ “Localization” นำเสนอสินค้าตอบโจทย์คนไทยมากขึ้น โดยจะเห็นชัดเจนขึ้นในสาขา MUJI The EmQuartier เช่น
– เสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ที่ปรับดีไซน์ให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศไทย เช่น เสื้อผ้าแขนสั้น-กางเกงขาสั้น ด้วยสีสันสดใสมากขึ้น
– ขยายกลุ่มสินค้าคอลเลคชั่น MUJI Walker ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ตอบโจทย์กลุ่มคน Active Lifestyle และคนออกกำลังกาย สวมใส่ได้ทุกวัน
– กลุ่มเสื้อผ้าผู้ชาย เพิ่มเสื้อผ้าสไตล์ Smart Casual จากเดิมที่เน้นสไตล์ Casual เพื่อตอบโจทย์การสวมใส่เสื้อผ้าได้ในหลายโอกาส
– กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ สาขานี้มีครบทุกขนาด เพื่อให้ลูกค้าทดลองจริง และเดือนมีนาคม ปี 2023 จะมีคอลเลคชั่นพิเศษสำหรับไทยผลิตจากหลากหลายวัสดุ เช่น วัสดุยางพารา
– โซน MUJI Green จำหน่ายต้นไม้ที่สามารถเติบโตได้ดีในที่ร่ม
– โซนรีฟิล จับมือกับ Normal shop ถือเป็นสาขาที่ 2 หลังจากก่อนหน้านี้เปิดโซนรีฟิลที่สาขาชิดลม เพื่อส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม และต่อไปมีแผนขยายโซนรีฟิลไปยัง MUJI สาขาอื่น
– MUJI The EmQuartier เป็นสาขาแรกที่ออกแบบโซนกาแฟ “MUJI Coffee Corner” มาอยู่ด้านหน้าทางเข้าร้าน เนื่องจากต้องการให้เป็น open space ที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย รวมทั้งเพิ่มไลน์สินค้าเบนโตะให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ยากิโซบะ, ข้าวผัด
– กลุ่มสินค้าอาหาร มีทั้งสินค้า MUJI นำเข้า และกลุ่ม Local Food โดยปัจจุบันสัดส่วนยอดขาย 70% เป็นสินค้า MUJI นำเข้า และ 30% เป็นสินค้าท้องถิ่น ต่อไปจะเพิ่มสัดส่วนสินค้าท้องถิ่นมากขึ้น
– ปัจจุบันสัดส่วนยอดขาย MUJI 50% มาจากกลุ่มเสื้อผ้า, 48% มาจากกลุ่มสินค้าภายในบ้าน และ 2% มาจากกลุ่มอาหาร โดยตั้งเป้าสร้างการเติบโตกลุ่มสินค้าอาหารกว่า 10%
“MUJI The EmQuartier เป็นสาขาแรกที่เราเอาคาเฟ่มาอยู่ด้านหน้าร้าน เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และทดลองว่าถ้าเอาคาเฟ่มาอยู่หน้าร้าน แล้วจะเติบโตมากน้อยแค่ไหน ซึ่งหลังจากเรานำบริการ MUJI Coffee Corner มาให้บริการลูกค้าไทย พบว่าลูกค้าไทยตามเทรนด์คาเฟ่อย่างรวดเร็ว ทำให้เราต้องพัฒนาเมนู ทั้งอาหารและเครื่องดื่มให้มีความหลากหลายขึ้น เพื่อให้ทันต่อความต้องการของลูกค้าไทย” คุณอกิฮิโร่ คาโมการิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด เล่าถึงการเพิ่มความหลากหลายสินค้า เพื่อตอบรับเทรนด์คาเฟ่ และความต้องการผู้บริโภคไทย
นอกจากนี้ MUJI ประเทศไทยเตรียมนำกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายในไทยมากขึ้นในช่วงต้นปี 2023 จากปัจจุบันมีไม่กี่รายการ เช่น พัดลมปรับอากาศ โดยจะคัดสรรสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคไทย
มีแผนพัฒนา Store Format หลากหลาย เล็งเปิด “Flagship Store” กว่า 4,500 ตารางเมตร – โมเดลไซส์เล็กเหมือน “Convenience Store”
กลยุทธ์การขยายสาขาในทำเลศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ MUJI มียอดขายเติบโตมากขึ้น และช่วยขยายฐานลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ผนวกกับจุดเด่นของสินค้า MUJI จึงสามารถตอบโจทย์คนทุกเพศทุกวัย
ปัจจุบันลูกค้าของ MUJI มีสัดส่วนผู้หญิงมากกว่า 60% เรียงตามกลุ่มอายุตามลำดับคือ
1. อายุ 25 – 34 ปี
2. อายุ 35 – 44 ปี
3. อายุ 45 – 54 ปี
รวมทั้งมีแผนขยายไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็นกลุ่มนักศึกษา อายุ 18 – 24 ปี จนถึง First Jobber รวมถึงเจาะกลุ่มผู้ชายมากขึ้นอีกด้วย
ขณะที่แผนการขยายธุรกิจต่อไปของ “MUJI” มีแผนเปิดสาขาเพิ่มอีก 8 -10 สาขา ภายในปี 2023 โฟกัสขนาดใหญ่ ไม่ต่ำกว่า 1,500 สาขา โดยจะขยายไปยังหัวเมืองในต่างจังหวัดมากขึ้น จากปัจจุบันสาขาส่วนใหญ่ของ MUJI อยู่ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑลเป็นหลัก และมี 2 สาขาในต่างจังหวัดคือ ชลบุรี และเชียงใหม่ ดังนั้นต่อไปจะเดินหน้าเปิดสาขาตามหัวเมืองในจังหวัดต่างๆ
นอกจากนี้ในอนาคต “MUJI ประเทศไทย” มีแผนเปิด “Flagship Store” ขนาดใหญ่กว่า 1,500 ตารางเมตร 2 เท่า หรือประมาณไม่ต่ำกว่า 4,500 ตารางเมตร โดยขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโลเคชั่น รวมทั้งมีแผนเปิด Store Format ไซส์เล็ก โมเดลเหมือนกับ “Convenience Store” โดยเน้นกลุ่มอาหารเป็นหลัก
“ตามแผนการเปิดสาขา MUJI ประเทศไทยมี plan จะเปิดโมเดล Small Store เป็นรูปแบบเหมือนกับร้านสะดวกซื้อ เน้นจำหน่ายอาหารเป็นหลัก นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราพัฒนากลุ่มสินค้า Local Food เพื่อให้มีความหลากหลายของรายการสินค้ามากขึ้น ซึ่งการเปิด Small Store เป็นความฝันของ MUJI ประเทศไทยที่เราอยากทำ…” คุณอกิฮิโร่ ทิ้งท้ายถึงเป้าหมายการเปิดสาขาโมเดลใหม่ ทั้งไซส์ใหญ่ และไซส์เล็กในอนาคต