ย้อนกลับไปช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาสถานการณ์โรคระบาดทำให้หลายคนหันมาทำอะไรด้วยตัวเองในรูปแบบ DIY (Do It Yourself) ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้หลายคนมองหาการลดค่าใช้จ่าย รูปแบบ DIY จึงเริ่มขยายวงกว้างมากขึ้น ทั้งผู้หญิงที่หันมาทำครัวเองหรือผู้ชายที่พัฒนาทักษะการซ่อมแซม นั่นจึงทำให้ร้านค้าปลีกสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้านอย่าง MR.D.I.Y. กลายเป็นหนึ่งช่องทางในการเลือกซื้อสินค้าที่เน้นความคุ้มค่า
สบโอกาสขยายสาขาเพิ่ม
เมื่อมองย้อนกลับไปในปีที่ผ่านมา MR.D.I.Y. สามารถขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นถึง 188 สาขา ส่งผลให้มีจำนวนสาขามากกว่า 770 สาขา ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยพื้นที่ภาคกลางรวมทั้ง กทม.และภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่ที่มีสาขามากที่สุดรวม 492 สาขา โดยมีการให้บริการจำหน่ายสินค้ามากกว่า 77 ล้านครั้ง และมีสินค้ากว่า 15,000 SKUs และมีการจ้างงานมากกว่า 9,000 คน
ซึ่งจากข้อมูลพบว่า สินค้ากลุ่ม Household เป็นสินค้ากลุ่มที่ขายได้มากที่สุดถึง 36% อย่างเช่นกลุ่มสินค้าที่ใช้ในครัวรองลงมาเครื่องมือซ่อมแซมถึง 16% นั่นชี้ให้เห็นว่า คนไทยหากนึกถึงสินค้าในครัวเรือนและซ่อมแซมบ้านจะนึกถึง MR.D.I.Y. ไม่เพียงเท่านี้ยังมีสินค้าในหมวดอื่นๆ อาทิ ของเล่น อุปกรณ์แต่งรถ เครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้ MR.D.I.Y. สามารถตอบความต้องการของคนทุกกลุ่มในบ้านได้
กลยุทธ์การขยายสาขายังคงเป็นกลยุทธ์หลักเพื่อให้ร้านค้าสามารถเข้าถึงทุกพื้นที่ โดยในปี 2024 มีแผนเปิดสาขาใหม่ 195 แห่ง ผ่านงบลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ถือเป็นกลยุทธ์ที่ MR.D.I.Y. ยึดเป็นหลัก เนื่องจากในช่วงสถานการณ์โรคระบาด MR.D.I.Y. ยังคงขยายสาขาต่อเนื่องและสร้างผลกำไรมาตลอด ยิ่งเมื่อผู้คนกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติ การขยายสาขาเพิ่มขึ้นจะช่วยสร้างโอกาสให้กับ MR.D.I.Y.
เพิ่มกลุ่มสินค้าควบคู่ขยายสาขา
ด้วยกลยุทธ์การขยายสาขาดังกล่าวจะส่งผลให้ MR.D.I.Y. ในสิ้นปีนี้มีสาขารวมทั้งสิ้น 934 สาขา และคาดว่าในปี 2025 จะยังคงเดินกลยุทธ์การขยายสาขาและจะทำให้มีสาขารวมทั้งสิ้น 1,130 สาขา สำหรับหลักเกณฑ์การเลือกพื้นที่ในการตั้งสาขาใหม่จะเลือกพื้นที่ที่ยังไม่มีสาขาของ MR.D.I.Y. และมีชุมชนอยู่รอบๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีโรงเรียน ซึ่งสาขาใหม่จะเน้นการตั้งสาขาในรูปแบบ Standalone เป็นหลัก
โดยมีเป้าหมายหลักในการขยายสาขาให้ครอบคลุมทั้ง 77 ของประเทศไทย และพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญจะเน้นไปที่ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ สำหรับกลยุทธ์ในด้านสินค้าจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น
- Core Products: ปัจจุบันมีสินค้ามากกว่า 15,000 รายการ โดยจะยังคงมีการนำสินค้าใหม่เข้ามาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง
- Private Label: นำเสนอสินค้าภายใต้แบรนด์ MR.D.I.Y. โดยปัจจุบันมียอดขายของสินค้ากลุ่มนี้อยู่ที่ 40% โดยจะเน้นเรื่องของความคุ้มค่าด้านราคา
- Festival Item: เพื่อให้เข้ากับเทศกาลที่หลากหลายของไทย จึงมีสินค้าที่เกี่ยวกับเทศกาลต่างๆ โดยสินค้ากลุ่มเทศกาล Halloween และ Christmas จะเป็นสินค้าเทศกาลที่ขายดีที่สุด
- Licensed Product: ล่าสุดกับการนำสินค้าลิขสิทธิ์แท้จาก Disney เข้ามาจำหน่าย อย่างเช่น มิคกี้เมาส์ มินนี่ หมีพูห์และกลุ่มเจ้าหญิงต่างๆ เป็นต้น
จัดแคมเปญเอาใจคนชอบคุ้ม
นอกจากเรื่องของการขยายสาขาและการเพิ่มกลุ่มสินค้าแล้ว แคมเปญยังเป็นอีกกลยุทธ์ที่ MR.D.I.Y. ให้ความสำคัญ โดยแคมเปญเหล่านี้จะมีทั้งแคมเปญที่เป็น Seasonal อย่างเช่น Back to School, Halloween และ Christmas รวมไปถึงแคมเปญกระตุ้นตลาดผ่านการแจกของรางวัลเพื่อเป็นการขอบคุณ ไม่ว่าจะเป็นการแจกรถหรือทองและของรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย
รวมไปถึงแคมเปญ Branding อย่าง “ช้อปเกินครบ คุ้มเกินคาด” ซึ่งเป็นแคมเปญที่คิดขึ้นมาจาก Insight ของผู้บริโภคที่พบว่า ผู้บริโภคที่เข้ามาในร้าน MR.D.I.Y. ส่วนใหญ่จะไม่ได้ซื้อสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่จะมีสินค้าอื่นๆ ติดไม้ติดมือกลับไปด้วย นั่นเพราะ Brand Perception ของ MR.D.I.Y. ที่ผู้บริโภคเข้าใจคือความคุ้มค่าและความหลากหลาย ซึ่งแคมเปญจะเข้ามาช่วยตอกย้ำ Brand Perception
ไม่เพียงแค่เรื่องของการขยายร้านค้าเท่านั้น แต่การขยายช่องทางดิจิทัลก็เป็นเรื่องสำคัญ โดยในปีที่ผ่านมา MR.D.I.Y. บุกตลอดออนไลน์ผ่านช่องทาง Shopee ไปแล้วในรูปแบบ Official Store และในปีนี้มีการขยายช่องทางดิจิทัลอีก 2 แพลตฟอร์มทั้ง LazMall และ TikTok Shop ซึ่งจะช่วยให้ผูบริโภคเข้าถึงร้าน MR.D.I.Y. ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
เดินหน้าพัฒนา ESG ต่อเนื่อง
เรื่องสิ่งแวดล้อมก็ยังคงเป็นเรื่องสำคัญของการทำธุรกิจ โดยในปีนี้ MR.D.I.Y. จัดโปรแกรม “MR.D.I.Y. Cares” มีทั้งแผนการขยายการใช้รถไฟฟ้าในการดำเนินกิจการ ทั้ง EV Trucks โดยสิ้นปี 2024 จะมีการนำรถ EV Trucks เข้ามาเพิ่มในรูปแบบ 6+2 โดย 6 คันจะถูกนำไปใช้ในด้านการขนส่งและอีก 2 คันจะถูกมาใช้ในการดูแลพนักงาน ส่วน EV Forklift มีการปรับใช้ใหม่หมดทุกคัน
รวมถึงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาทั้งที่ Warehouse และสาขาต่างๆ เพื่อผลิตพลังงานหมุนเวียนและลดการใช้แหล่งพลังงานจากฟอสซิล นอกจากนี้ยังมีการบริการจัดการขยะ (Waste Management) โดยนำกล่องกระดาษกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งกล่องลังกระดาษ 1 ใบต้องสามารถใช้งานได้อย่างน้อย 15 ครั้ง ก่อนจะถูกนำไป Recycle
นอกจากในเรื่องของสิ่งแวดล้อมแล้ว MR.D.I.Y. ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทางสังคม โดยเฉพาะในด้านการดูแลและพัฒนาเด็กๆ ที่สำคัญการขยายสาขาใหม่ของ MR.D.I.Y. ไม่เพียงจะเป็นการดำเนินการแผนกลยุทธ์แล้ว ส่วนหนึ่งยังเป็นการสร้างโอกาสการจ้างงานในแต่ละพื้นที่ โดยคาดว่าแผนเปิดสาขาใหม่ 195 แห่งจะสามารถสร้างงานได้ถึง 2,000 ตำแหน่ง ช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างพลังให้ชุมชนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ถอดรหัสอนาคต MR.D.I.Y.
ถือได้ว่า MR.D.I.Y. กล้าลงทุนอย่างมากในผุดสาขาจำนวน 195 แห่งในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาที่เป็น Standalone ที่มีขนาดร้านเฉลี่ย 700 ตร.ม. โดยสัดส่วนของสาขาที่เป็น Standalone อยู่ที่ 80% ขณะที่สาขาในศูนย์การค้ามีเพียง 20% นั่นเพราะส่วนหนึ่ง MR.D.I.Y. เล็งเห้นศํกยภาพของตลาดประเทศไทยที่มีขนาดใหญ่กว่ามาเลเซียประเทศแม่ของ MR.D.I.Y. โดยประเทศไทยมีประชากรมากกว่ามาเลเซียถึง 2 เท่า
โดยผู้บริโภคชาวไทยมักจะจับจ่ายใช้สอยในร้าน MR.D.I.Y. เฉลี่ย 180-200 บาทต่อคน และมักจะซื้อสินค้าเฉลี่ย 4-5 ชิ้นต่อคนต่อบิล ขณะที่ผูบริโภคชาวมาเลย์ใช้จ่ายมากกว่านั้น นั่นหมายความว่ายังมีโอกาสที่ผู้บริโภคจะใช้เงินเพิ่มในการจับจ่ายใช้สอย ซึ่ง MR.D.I.Y. น่าจะมองว่าการมีช่องทางที่ครอบคลุมใกล้บ้านจะช่วยให้ผู้บริโภคสะดวกในการจับจ่ายและสามารถใช้จ่ายเงินได้มากขึ้น
อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องยอมรับ คนไทยนิยม DIY เพิ่มมากขึ้นผ่านการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต ทั้งในเรื่องของการเข้าครัวหรือซ่อมแซม และหลายคนก็ต้องการใช้เครื่องมือต่างๆ ที่ช่วยให้การ DIY ง่ายที่สุด แต่ได้ผลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งการซื้อเครื่องมือเหล่านั้นถ้าไปศูนย์การค้าที่ขายเครื่องมือเหล่านี้ นอกจากจะเสียเวลาเดินทางไปแล้ว ราคายังอาจต้องคิดหนักเพราะส่วนใหญ่จะเป็นราคาสำหรับมืออาชีพ แต่การ DIY ใช้ได้ผลครั้งเดียวก็คุ้มค่าแล้ว นั่นทำให้เมื่อนึกถึงความคุ้มค่า MR.D.I.Y. อาจเป็นทางเลือกที่หลายคนเลือกนั่นเอง