Digital Transformation เป็นเรื่องที่ทั่วโลกเห็นตรงกันว่าทุกบริษัทหรือองค์กร “จำเป็นต้องทำ” เพื่อก้าวพ้นกระแส Disruption และเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จด้วย Digital Commerce ก้าวจากการทำธุรกิจแบบ B2B หรือ B2C ไปสู่ D2C หรือ Direct To Consumer Commerce กันแล้ว
แน่นอนว่ามีบริษัทชั้นนำจำนวนมากในทุกๆ อุตสาหกรรมที่ดำเนินการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลและก้าวไปสู่ความสำเร็จได้จริงตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่อาจไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังความสำเร็จของการทำ Digital Transformation ของบริษัทชั้นนำเหล่านั้นมีบริษัทที่ปรึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงธุรกิจไปสู่ความเป็นดิจิทัลครบวงจร อย่าง Montivory บริษัทสัญชาติไทยที่มีแม่ทัพอย่างคุณสุปรีย์ ทองเพชร ผู้คร่ำหวอดในวงการดิจิทัลมาอย่างยาวนานถึง 20 ปีอยู่เบื้องหลัง
“First Things First” เปลี่ยนผ่านบนรากฐานที่แข็งแกร่ง
คุณสุปรีย์ เล่าให้ฟังถึงที่มาของชื่อ “Montivory” ที่มาจากคำว่า Mountain-Ivory หรือ “เขาช้าง” แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดพังงาที่เป็น “บ้านเกิด” ของคุณสุปรีย์เอง การให้ความสำคัญกับท้องถิ่นที่เป็นรากฐานความสำเร็จของคุณสุปรีย์ สะท้อนแนวคิดของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่บนรากฐานที่แข็งแกร่งตามปรัชญาของ Montivory ที่ว่า “First Things First” ซึ่งคุณสุปรีย์ระบุว่าไม่ได้เป็นเพียง Motto ของบริษัทเท่านั้น แต่เป็นอุปนิสัยของพนักงานทุกคนที่จะต้องให้ความสำคัญกับจุดเริ่มต้นและรากฐานที่จะต้องแข็งแกร่งก่อน เพราะหากเริ่มต้นจากการเรียงลำดับการเก็บข้อมูลได้ดีเป็นอันดับแรก จะสามารถเป็นประโยชน์ให้กับการทำธุรกิจในอนาคต ดั้งนั้นสิ่งที่ Montivory ทำ จึงเป็นการเข้าไปสร้างและปรับเปลี่ยนที่ฐานรากและกระบวนการเพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ตั้งเป้าไว้
“Montivory เป็น Consult ที่นำเสนอและแนะนำในเรื่องกระบวนการในการทำงาน เป็นเรียลพาร์ตเนอร์ ไม่ได้เป็นที่ปรึกษาที่มีสินค้าไปขายเพียงอย่างเดียว เพราะเราเชื่อว่ากระบวนการที่ถูกต้องนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ถูกต้อง” คุณสุปรีย์เล่า
CEO Montivory เล่าด้วยว่าความเป็น Montivory มองว่าการสร้าง Digital Service Innovation ถือเป็นกลยุทธ์นึง ในการก้าวผ่านอุปสรรคจากกระแส Disruption ด้วยการก้าวไปสู่ความเป็นดิจิทัลด้วยนั่นเอง และหน้าที่ของ Montivory ก็คือการเข้าไป Activate อุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงองค์กรให้ไปสู่ความเป็นดิจิทัลได้อย่างแท้จริงตั้งแต่การเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ การนำข้อมูลไปใช้ในการสร้างแคมเปญทางการตลาด ไปสู่การทำ E-Commerce ที่จะสร้างรายได้และผลกำไรกลับคืนสู่บริษัทได้ในที่สุด
Cross Industry Knowhow ในเกือบทุกอุตสาหกรรม
คุณสุปรีย์ระบุว่า ปัจจุบัน Montivory มีความโดดเด่นที่พนักงานมี Cross Industry Knowhow คือมีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาแบบข้ามอุตสาหกรรม และพร้อมที่จะให้บริการได้อย่างกว้างขวางและเชี่ยวชาญ นั่นเป็นผลมาจาก Montivory มีลูกค้าที่เป็นบริษัทชั้นนำมาร่วมพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นดิจิทัลจากแทบจะทุกอุตสาหกรรมในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมโทรคมนาคม, สินค้าอุปโภคบริโภค ,บริการดูแลสุขภาพ,ยานยนต์, การเงิน, เครื่องดื่ม, พลังงาน และเครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่น ๆ
“นี่คือสิ่งที่ Montivory มีความแตกต่างจากบริษัทอื่นๆที่จะเชี่ยวชาญเฉพาะอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพัฒนาบุคลกรให้เชี่ยวชาญแบบข้ามอุตสาหกรรม ซึ่งในจุดนี้เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ Montivory เติบโตมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้งบริษัท” คุณสุปรีย์ ระบุ
ลูกค้า 1 รายต่อ 1 อุตสาหกรรมยึดมั่นจริยธรรมในการทำธุรกิจ
การทำธุรกิจกับ Data จำนวนมหาศาลกับลูกค้านั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการมี Data Governance โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นผู้ที่เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกที่ลูกค้าไม่ต้องการให้หลุดออกไปถึงมือคู่แข่ง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม Montivory จึงมีลูกค้าเพียง 1 รายเท่านั้นในแต่ละอุตสาหกรรม
“Montivory เลือกที่จะทำงานกับลูกค้าเพียงรายเดียวในแต่ละอุตสาหกรรมเท่านั้น ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยากโดยเฉพาะในแง่ของการเติบโตของธุรกิจเนื่องจากไม่สามารถเพิ่มจำนวนลูกค้าแบบทวีคูณได้ แต่นั่นก็จะแลกมาด้วย Cross Industry Knowhow ของพนักงานในบริษัท” คุณสุปรีย์เล่า
มี Success Case สร้างความมั่นใจ
อุปสรรคสำคัญของการทำงานในฐานะที่ปรึกษาด้าน Digital Transformation ก็คือมายาคติที่จะทำให้องค์กรต่างๆ เลือกที่จะใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อเดินไปสู่ความสำเร็จตามทางองค์กรอื่นเสมอ แต่จริงๆแล้ว บุคลากร และมุมมองของคนต่างหากที่สำคัญที่สุด
คุณสุปรีย์เล่าว่า การที่จะเดินไปบอกคน ๆ หนึ่งให้เปลี่ยนแปลงจะไม่มีใครยอมเปลี่ยนแปลงเพราะไม่มีความมั่นใจ เรามีหน้าที่ทำให้การเปลี่ยนนั้นก่อให้เกิดความมั่นใจที่สุด ด้วยการบอกเขาให้ได้ว่าเปลี่ยนแล้วจะนำไปสู่ผลลัพธ์ในด้านใด และลูกค้าจะพร้อมลงทุนเมื่อเขารู้ว่าลงทุนแล้วจะได้อะไร และ Montivory ก็อยู่ในจุดที่มีประสบการณ์ที่สมบูรณ์มาแล้วมากมายที่สามารถอ้างอิงถึงความสำเร็จได้
สำหรับความสำเร็จของ Montivory ที่ผ่านมาคุณสุปรีย์เล่าว่า บริษัทเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภครายหนึ่ง จนทำให้แบรนด์นี้ ก้าวขึ้นถึงอันดับ 2 ของโลก ของการจัดอันดับของการทำ Data Management Platform และเวลานี้เองมีเป้าหมายไปสู่อันดับ 1 ของโลกแล้ว แสดงให้เห็นถึงการจัดการข้อมูลและนำไปใช้ในเชิงการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกตัวอย่างก็คือลูกค้าของ Montivory ที่เป็นค่ายมือถือที่เราช่วย Uplift ทางการตลาดมากถึง 70% เทียบกับก่อนที่ Montivory จะเข้าไปทำ เรียกว่าสูงที่สุดในภูมิภาคนี้เลยทีเดียว แต่แน่นอนว่าความสำเร็จนั้นไม่ได้เป็นความสำเร็จของ Montivory หรือลูกค้าเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เป็นความสำเร็จของการทำงานร่วมกัน และสิ่งสำคัญก็คือเมื่อมีกระบวนการที่ดีและทำแล้วประสบความสำเร็จจะทำให้เราสามารถทำซ้ำได้ และนั่นจะสามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้ารายใหม่ๆได้อีกทอดหนึ่งด้วย
มีบริษัทระดับโลกเป็นพาร์ตเนอร์
ความสำเร็จย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยการมีคู่ค้าที่ดี Montivory ก็เช่นกัน โดยคุณสุปรีย์ เล่าว่า Montivory มีพาร์ตเนอร์เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอยู่หลากหลายบริษัท สามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละแคมเปญ และจุดประสงค์ต่าง ๆ ได้ ยกตัวอย่าง เช่น Adobe ที่มีระบบ Adobe Marketing Cloud ที่เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่สามารถนำ Data มาทำแคมเปญทางการตลาดแบบ Personalization ได้อย่างยอดเยี่ยมและเหมาะกับบริษัทในไทยมากมายที่ นอกจากนี้ยังมี Software ที่ส่งข้อมูลแบบ 1 ต่อ 1 ได้อย่าง Blitz มีแพลตฟอร์ม E-Commerce ที่ล้ำยุคอย่าง commercetools รวมไปถึงบริษัท Digimind และ Emplifi ที่เป็นแพลตฟอร์ม Social Listening สำหรับนำมาใช้ในการทำการตลาดให้ประสบความสำเร็จได้
Multi-Stack Technology
สำหรับงานของ Montivory ก็คือจะทำอย่างไรที่จะนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาทำให้การทำ Digital Transformation ของบริษัทต่างๆมาใช้ได้จริง เนื่องจากหลายบริษัทใช้เงินลงทุนไปกับเทคโนโลยีเหล่านี้แต่ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป ซึ่งคุณสุปรีย์ระบุว่า จากประสบการณ์ของ Montivory ก็พบว่าเราไม่สามารถนำ ซอฟต์แวร์เพียงตัวเดียวมาใช้แล้วจะประสบความสำเร็จได้ แต่จะต้องพิจารณาให้เหมาะสมเป็นรายกรณีไป
ดังนั้น Montivory จึงมีบริการที่สามารถนำข้อมูลที่มีอยู่มากมายมหาศาลทั้งจาก เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ที่เป็น Own Media Data และข้อมูลจากฝั่งของ Social Media ต่างๆให้เอามาเชื่อมโยงกันให้ได้ ซึ่ง Montivory เองก็มีเทคโนโลยีสำหรับการนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ให้สร้างผลกำไร โดยในส่วนของ Own Media Data ก็จะมีเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูล Big Data การวิเคราะห์ข้อมูลแบบทำนายผลล่วงหน้า การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ การทำ Personalization มาผสานกับการวิเคราะห์ข้อมูลจาก Social Media ด้วยเครื่องมือ Social Listening มีการวิเคราะห์ความพึงพอใจ วิเคราะห์พฤติกรรม รวมไปถึงวิเคราะห์ตำแหน่ง ของกลุ่มเป้าหมาย และนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้สร้างระบบในการซื้อขายสินค้าที่บริหารจัดการได้เองด้วย หรือบริการขายสินค้าที่นำเสนอสินค้าที่ลูกค้าชื่นชอบโดยอัตโนมัติได้ และที่สำคัญก็คือเรื่องของ IoT Commerce ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั่นก็คือการซื้อของผ่านอุปกรณ์ IoT หรือ Internet of Things ที่ไม่จำเป็นต้องมีหน้าจอ หรือแม้แต่การซื้อขายทาง Metaverse ก็ยังได้
Technology-Driven by People
จุดที่ Montivory แตกต่างจากคู่แข่งในตลาดก็คือ “บุคลากร” ทั้งหมดภายใต้แนวคิด Technology-Driven by People ซึ่งคุณสุปรีย์ ระบุว่า เครื่องมือหรือ Tools ต่างๆ นั้นสามารถซื้อเข้ามาได้ แต่คนที่จะเข้ามาขับเคลื่อน ให้คำปรึกษา หรือวางระเบียบปฏิบัติให้เครื่องมือเหล่านั้นสามารถทำงานได้มันเป็นคนละเรื่องกัน ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดและสร้างความแตกต่างให้กับ Montivory ได้มากที่สุดก็คือ บุคลากร ที่มีความรู้ความสามารถมีความเชี่ยวชาญแบบข้ามอุตสาหกรรมนั่นเอง
คุณสุปรีย์ ระบุถึงบริการของทีม Montivory ที่จะมีขั้นตอนการทำงานเริ่มต้นตั้งแต่ การให้คำปรึกษาทางธุรกิจหรือ Business Consulting ที่จะให้คำแนะนำในเรื่องของทิศทาง การเปลี่ยนผ่าน รวมถึงกลยุทธ์ที่จะใช้ ตามมาด้วยการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลอย่างถูกต้องหรือ Data Privacy Advisory ที่การขออนุญาตเก็บข้อมูล การเก็บข้อมูล และการนำข้อมูลไปใช้ต่างๆนั้นจะต้องไม่ละเมิดกฎหมายการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลหรือ PDPA ลดความเสี่ยงให้กับลูกค้าตามมาด้วยบริการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี หรือ Technology Consulting ที่จะให้คำแนะนำในเรื่องของการใช้เครื่องมือต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
บริการเหล่านี้จะเป็นที่มาของข้อมูลต่างๆที่จะนำไปใช้ต่อไปซึ่ง Montivory ก็จะมีบริการในเรื่องของการโฆษณาในโลกดิจิทัล มีทีมออกแบบ User Interface เว็บไซต์ รวมถึง แอปพลิเคชันที่สามารถนำไปสู่การเก็บข้อมูลได้จริง บริษัทมีทีม Data Management บริหารจัดการข้อมูล เรื่อยไปจนถึงทีมปฏิบัติการ หรือ Operation Service ที่จะมาช่วยลูกค้าขับเคลื่อนเครื่องมือทั้งหมดที่มีนำไปใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพและเกิดผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้นด้วย
ไม่เท่านั้นคุณสุปรีย์ ยังเล่าด้วยว่าพนักงานของ Montivory ยังมี Certificate ในบริการต่างๆของ Adobe รวมกันแล้วมากถึง 59 ใบด้วยกันซึ่งเรียกได้ว่าเป็นบริษัทที่ได้รับ Certificate มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเรื่องนี้ก็จะยิ่งสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่จะมาใช้ลูกค้าได้ว่า Montivory จะสามารถให้บริการด้วยความเชี่ยวชาญได้จริงๆ
มองสู่ระดับภูมิภาครุกตลาดอาเซียน
ด้วยความเชี่ยวชาญของพนักงาน การมีองค์ความรู้ที่สามารถให้บริการข้ามอุตสาหกรรมได้ รวมไปถึงการมีลูกค้าในประเทศไทยที่เกือบจะครบทุกอุตสาหกรรมแล้ว นั่นจึงนับว่าเป็นความพร้อมของ Montivory ที่จะขยายตลาดออกไปสู่ระดับภูมิภาคมากขึ้นโดยมองไปที่ภูมิภาคอาเซียนโดย Montivory ตั้งเป้าที่จะทำร้ายได้ให้เพิ่มขึ้น 800 ล้านบาทภายในอีก 3 ปีข้างหน้า
“ตั้งเป้า 800 ล้านใน 3 ปี ดูแล้วอาจจะเป็นตัวเลขที่มากแต่นับว่าเป็นการเติบโตที่มีความสม่ำเสมอที่เกิดขึ้นได้จริงพิจารณาจากโวลุ่มที่มีอยู่ในมือตอนนี้ในแต่ละประเทศ และการที่ลูกค้าที่เดินมากับเราตั้งแต่รายแรกไม่ได้เดินหนีออกจากเราเลย หากสิ่งนี้เกิดในทุกประเทศเหมือนกัน การเติบโตของ Montivory จะเติบโตแบบทวีคูณไปเรื่อยๆ ถ้ายังรักษาระดับการให้บริการแบบนี้ต่อไป” คุณสุปรีย์เล่า
แม่ทัพ Montivory เปิดเผยว่าโอกาสนั้นยังคงเปิดกว้างโดยเฉพาะกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่ยังคงมี Ranking ของการใช้เทคโนโลยีที่อยู่ในอันดับ 40 ถึง 50 ของทั้งโลก ขณะที่อันดับความพร้อมในการใช้เทคโนโลยี หรือ Digital Readiness Index นั้นสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทยนั้นอยู่ใน 3 อันดับแรก แต่ประเทศอื่นๆในภูมิภาคอาเซียนนั้นอยู่ในจุดที่ไม่ได้สูงมาก ดังนั้นนั่นจึงเป็นโอกาสของ Montivory ที่จะเข้าไปให้บริการและพัฒนาให้บุคลากรในประเทศเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีได้มากยิ่งขึ้น
“ในฟิลิปปินส์คงจะมีข่าวดีในเร็วๆนี้ ในสิงคโปร์ มาเลเซีย ก็น่าจะมาไล่ๆกันในช่วงปลายปี เรามองว่า ผลงานของ Montivory พูดในตัวของมันเองเสมอ จากผลลัทธ์ที่เป็นรูปธรรม ดังนั้นผลงานของเราในไทยที่มีเพียงพอแล้ว ทำให้เรามั่นใจ เริ่มคุยกับตลาดอื่น และขยายไปสู่ต่างประเทศ” คุณสุปรีย์ ระบุ
ตอบสนองความต้องการของตลาดระดับภูมิภาค
นอกจากนี้คุณสุปรีย์ยังเล่าถึง สิ่งที่ตลาดในภูมิภาคต้องการ และ Montivory สามารถตอบสนองได้ก็คือเรื่องของการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่ก้าวหน้า ที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่น ให้องค์ความรู้เพื่อให้ขจัดความกลัวและทำให้แต่ละองค์กรเกิดวุฒิภาวะในการก้าวสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้น ตามมาด้วยความต้องการในการก้าวไปสู่ตลาดในภูมิภาคมากยิ่งขึ้นเนื่องจากตลาดอาเซียนนั้นมีโอกาสที่ยังเปิดกว้างจากตลาดที่มีประชากรมหาศาล
ดังนั้น Montivory จึงมีความพร้อมทั้งทางเทคโนโลยีและบุคลากร รวมทั้งมีทางเลือกในการจัดหาเครื่องมือที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละองค์กร นอกจากนี้เทคโนโลยีที่ Montivory มีอยู่ในมือ ยังครอบคลุมการทำงานทั้ง Ecosystem ของ D2C Commerce ไม่ว่าด้าน Data, Social Media หรือ E-Commerce จึงสามารถสนับสนุนการทำงานของในบริบทต่าง ๆ ของทุกองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งหมดนี้คือกลยุทธ์ที่ทำให้ Montivory ประสบความสำเร็จได้ในตลอด 3 ปีที่ผ่านมาและกำลังจะก้าวไปอีกขั้นด้วยการขยายตลาดสู่ระดับภูมิภาค สู่การเป็นบริษัทระดับนานาชาติที่จะช่วยยกระดับธุรกิจในภูมิภาคให้ก้าวไปสู่การเป็น Digital Commerce บนพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และยังมีส่วนช่วยยกระดับเศรษฐกิจของประเทศให้พัฒนาขึ้นได้ด้วยและนี่จึงเป็นที่มาของการผลักดันแคมเปญ Montivory go Regional ขึ้นมา เพราะไม่ใช่เรื่องของการเติบโตของเราคนเดียวแต่เป็นการเติบโตของลูกค้าทั้งหมดที่เรามีและไปทำให้เกิดขึ้นในประเทศที่เขาอาจจะมีออฟฟิศอยู่แล้ว รวมถึงลูกค้าที่เป็นบริษัทไทยโดยตรงก็จะสามารถขยับไปสู่ระดับภูมิภาคไปพร้อมๆกับเราได้ด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจบริษัทที่ปรึกษาเพื่อช่วยให้องค์กรก้าวไปสู่ความเป็นดิจิทัลที่การันตีความสำเร็จสามารถเข้าไปชมรายละเอียดได้ที่ https://montivory.com/web/