มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เปิดวิธีชนะใจ “มนุษย์สายพันธุ์ดิจิทัล” ด้วย “YouTube + Search Marketing” จากการใช้ Data-driven Insight

  • 357
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ทุกวันนี้เป็นยุค อำนาจอยู่ในมือผู้บริโภค และทุกคนต่างมี สื่อ เป็นของตนเอง และมีทางเลือกมากขึ้น เพราะฉะนั้น เสียงของผู้บริโภค” (Consumer Voice) จึงมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ในขณะที่ “Customer Journey” เป็นเส้นทางสลับซับซ้อน ไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรงอย่างในอดีตที่ผู้ผลิต หรือเจ้าของแบรนด์เปิดตัวสินค้าสู่ตลาด จากนั้นสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อนำไปสู่การปิดการขายที่สโตร์ หรือร้าน

เครื่องมือที่ผู้บริโภคใช้เป็นคู่คิด ก่อนตัดสินใจเลือกแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง คือ Search Engine แน่นอนว่าแพลตฟอร์มอันดับ 1 คือ “Google” ขณะเดียวกัน ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคหันมารับสื่อ “วิดีโอออนไลน์” มากขึ้น โดยแพลตฟอร์มรายใหญ่ คือ “YouTube” 

นั่นหมายความว่าเจ้าของแบรนด์และนักการตลาดไม่อาจมองข้ามแพลตฟอร์ม Search Engine และ Video Platform เพราะเป็นเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลังในการเข้าถึงผู้บริโภคและสามารถเก็บ Big Data นำไปวิเคราะห์สำหรับนำเสนอคอนเทนต์, สินค้า-บริการ, โปรโมชันฯลฯให้กับผู้บริโภคได้ทั้งแบบ Segmentation และลงลึกระดับ Personalization 

โดยเฉพาะสินค้าประเภท High Involvement ซึ่งเป็นสินค้ามีราคาต้องใช้เวลาในการหาข้อมูลคิดอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อดังนั้นกระบวนการตัดสินใจของผู้บริโภคนอกจากจะถามข้อมูลจากคนรอบข้างแล้วยังหาข้อมูลบน Search Engine และคลิปวิดีโอต่างๆควบคู่ไปด้วยเช่นกัน 

Think with Google x MarketingOops! ในครั้งนี้ จึงหยิบยกกรณีศึกษาตลาด รถกระบะ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ประเทศไทย และเป็นหนึ่งใน High Involvement Product ที่ผู้บริโภคใช้เวลาในการหาข้อมูลอย่างละเอียด ทำให้เวลานี้การตลาดบน Search Engine และ YouTube เป็นแพลตฟอร์มหลักที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค 

พร้อมถอดรหัสความสำเร็จของกลยุทธ์ Digital Marketing ของค่าย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย” (Mitsubishi Motors) ปรับกลยุทธ์การสื่อสาร โดยโฟกัสทั้งสื่อดั้งเดิม และสื่อดิจิทัลควบคู่กัน 

Mitsubishi Motors Triton

 

ทำความรู้จัก 4 คุณลักษณะมนุษย์สายพันธุ์ดิจิทัล 

ก่อนลงรายละเอียดกรณีศึกษาเราอยากชวนคุณผู้อ่านมาทำความรู้จักพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคดิจิทัลที่ประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญ 4 ด้านคือ 

1. Hyper Connected วิถีชีวิตของผู้บริโภคยุคดิจิทัล เชื่อมต่อกับออนไลน์ตลอดเวลา เกือบ 24 ชั่วโมง 7 วัน ไม่ว่าจะทำงาน เรียน ดูหนัง ฟังเพลง พูดคุยกับเพื่อนผ่านแอปพลิเคชันแชท รวมไปถึงการอัพเดทสิ่งที่ตัวเองสนใจ หรือเรื่องราวของตัวเองบน Social Network

2. “Prosumer” (Professional + Consumer) สืบเนื่องจากข้อแรก เพราะเมื่อผู้บริโภคเข้าถึงออนไลน์ และใช้ชีวิตอยู่บนดิจิทัล เท่ากับว่าไม่มีเส้นกั้นพรมแดนข้อมูลข่าวสาร ผู้บริโภคจึงสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้จากทุกแหล่ง 

3. ผู้บริโภคสมาธิสั้นลง ด้วยความที่คนยุคนี้ รับข้อมูลข่าวสารปริมาณมหาศาลในแต่ละวัน อีกทั้งผู้บริโภคยุคดิจิทัลเป็น “NOWISM” คือ ต้องการความรวดเร็ว ทันทีทันใด ส่งผลให้สมาธิของคนในปัจจุบัน ลดเหลือ 5 – 8 วินาที! 

นั่นหมายความว่าเจ้าของแบรนด์และนักการตลาดต้องหายุทธวิธีที่จะกระชากความสนใจของผู้บริโภคให้ได้ภายในช่วงเวลาดังกล่าวไม่เช่นนั้นโอกาสที่จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ผู้บริโภคพิจารณาเลือกซื้อย่อมน้อยลงไปด้วย 

4. Brand Loyalty ลดลง ความที่ปัจจุบันผู้บริโภคยุคดิจิทัล มีตัวเลือกมากมาย และชอบทดลองของใหม่ ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความภักดีต่อแบรนด์ลดลง ขณะที่แบรนด์อยู่ในสภาวะเจอความ “ท้าทาย” มากขึ้น เพราะถ้าแบรนด์ไม่สามารถรักษาคุณภาพ – ฐานลูกค้า ไม่สร้าง Engagement และละเลยผู้บริโภค ผู้บริโภคก็พร้อม “เปลี่ยนใจ”  

Search
Photo Credit : Nadir Keklik / Shutterstock.com

 

นักการตลาดต้องรู้! 3 Consumer Insight ในตลาดรถยนต์ 

“Google Think Auto” เผยข้อมูล Consumer Insight ที่วิเคราะห์จากฐานข้อมูลของทาง Google และ KANTAR TNS ต่อการตัดสินใจพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์สักคัน พบ 3 Insight สำคัญดังนี้

1. Customer Journey ของลูกค้าเปลี่ยนออนไลน์กลายเป็นช่องทางค้นหาข้อมูลประกอบการพิจารณาที่สำคัญของผู้บริโภค 

แตกต่างจากในอดีตช่องทางสร้างการรับรู้โดยหลักมาจากสื่อ TVC, วิทยุ, บิลบอร์ด, สื่อสิ่งพิมพ์เช่นหนังสือพิมพ์, แมกกาซีนจากนั้นเมื่อเกิดการรับรู้และสนใจผู้บริโภคจะหาข้อมูลจากแมกกาซีนรถยนต์พร้อมทั้งปรึกษาเพื่อนหรือคนรอบตัวแล้วถึงไปโชว์รูมหรืองานมอเตอร์โชว์เพื่อดูรถจริง

ขณะที่เวลานี้ “ออนไลน์” มีบทบาทสำคัญ ภายใต้ออนไลน์ มีหลายแพลตฟอร์ม โดยสองช่องทางหลัก คือ “Search Engine” โดย 99% ของผู้บริโภคที่ต้องการซื้อรถ จะค้นหาข้อมูลผ่านช่องทางนี้มากที่สุด 

ตามมาด้วย“Online Video” โดย 96% ของคนที่ต้องการซื้อรถ จะเข้ามาดูวิดีโอออนไลน์ ซึ่งแพลตฟอร์มยอดนิยมในกลุ่มคนไทย คือ “YouTube”

เพราะฉะนั้นในการวางกลยุทธ์การสื่อสารและคอนเทนต์ “แบรนด์” ต้องให้ความสำคัญกับทั้ง Search Engine และ Online Video ไม่น้อยไปกว่าการสื่อสารผ่านช่องทางอื่น 

Auto Industry Infographic

2. เว็บไซต์ของแบรนด์ และดีลเลอร์ เป็นอีก Touch Point ของการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภค  

จากผลวิจัยนี้พบว่าเว็บไซต์ของแบรนด์และดีลเลอร์เป็นช่องทางที่ผู้บริโภคที่ต้องการจะซื้อรถเข้ามาหาข้อมูลจากในนี้ด้วยเช่นกันโดย 88% ของผู้ซื้อรถบอกว่าเข้ามาหาข้อมูล-สอบถามราคา-จองการทดสอบการขับขี่จากเว็บไซต์ของแบรนด์และ 53% บอกว่าเข้ามาหาข้อมูลจากเว็บไซต์ของดีลเลอร์ 

ด้วยเหตุนี้เองจำเป็นอย่างยิ่งที่เว็บไซต์ของแบรนด์และดีลเลอร์รถยนต์ค่ายนั้นๆต้องคำนึงถึง UX (User Experience) และ UI (User Interface) การใช้งานเว็บไซต์เพื่อตอบโจทย์ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้บริโภค 

3. จำนวนแบรนด์รถยนต์ที่ผู้บริโภคพิจารณาเปรียบเทียบ เพิ่มขึ้นจาก 2.9 แบรนด์ เป็น 4.7 แบรนด์ 

ในปี 2560 จำนวนแบรนด์รถยนต์ที่ผู้บริโภคนำมาพิจารณาเพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อรถสักคันโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2.9 แบรนด์แต่แล้วในปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 4.7 แบรนด์จากสถิติดังกล่าวสะท้อนได้ว่าผู้บริโภคเปิดใจมากขึ้นและสามารถเข้าถึงข้อมูลได้เร็วขึ้น – ง่ายขึ้น 

ขณะเดียวกันผู้ผลิตหรือเจ้าของแบรนด์มีการปรับตัวด้านการนำเสนอข้อมูลและการสื่อสารโดยแต่ละค่ายผู้ผลิตใช้กลยุทธ์ “Digital Marketing” ทำให้ผู้บริโภคมีข้อมูลจากแบรนด์ต่างๆ มากขึ้น นำมาใช้ประกอบการตัดสินใจ 

แต่ในอีกมุมหนึ่งกลับส่งผลต่อ Brand Loyalty ต่อแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งลดน้อยลงเพราะฉะนั้นจึงมีทั้งข้อดีและข้อเสียตามที่กล่าวไปข้างต้นว่าข้อดีทำให้แบรนด์มีโอกาสมากขึ้นแต่ถ้าแบรนด์ละเลยหรือไม่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้ผู้บริโภคก็พร้อมนอกใจได้เช่นกัน

Auto Industry

 

ถอดกรณีศึกษามิตซูบิชิ ไทรทันปรับสูตรการตลาดดิจิทัลครั้งใหญ่ 

หลังจาก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้เปิดตัว Global Brand Strategy ใหม่ทั่วโลก และเปลี่ยนโลโก้ พร้อม Tagline ใหม่ “Drive Your Ambition” นับเป็นจุด Kickoff ของรถยนต์ มิตซูบิชิ ทุกเซ็กเมนต์นับจากนี้จะให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ผู้บริโภค ภายใต้ Brand Strategy ใหม่ ที่นำ Consumer Insight มาเป็นหนึ่งในแกนหลักของการวางแผนกลยุทธ์สื่อสารการตลาด

สำหรับ “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย” เมื่อปีที่แล้วมียอดจำหน่ายรวมภายในประเทศ 84,560 คันเติบโต 21.3% จากภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยมียอดจำหน่ายรวมมากกว่า 1 ล้านคันเติบโต 19.5% นั่นทำให้ “มิตซูบิชิมอเตอร์สประเทศไทย” มีส่วนแบ่งการตลาด 8.1% ซึ่งเป็นอันดับ 4 ของตลาดรวม 

รถยนต์เซ็กเมนต์ขายดีที่สุดของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย คือ มิตซูบิชิ ไทรทัน” (Mitsubishi Triton) ทำยอดขายคิดเป็นสัดส่วน 43%  ของพอร์ตโฟลิโอมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในไทย

จาก Customer Journey ที่เปลี่ยนไป มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จึงได้วางกลยุทธ์ “Digital Marketing” ด้วยการใช้ “Data Driven” ทั้งจากของมิตซูบิชิเอง และจากพาร์ทเนอร์ธุรกิจ 

Mitsubishi Motors Triton

การปรับตัวเกิดขึ้นหลายรูปแบบ เราต้องศึกษา และพิจารณาทั้งการเลือกซื้อสื่อ และคอนเทนต์ที่จะอยู่บนสื่อประเภทนั้นๆ ซึ่งหัวใจสำคัญที่ทำให้การวางแผนสื่อ และคอนเทนต์ได้เหมาะสม ต้องเข้าใจ Insight ผู้บริโภคแต่ละ Stage ของการหาข้อมูลการตัดสินใจของผู้บริโภค เขาต้องการอะไร อย่าเพิ่งด่วนปิดการขาย แต่ต้องทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ของเราก่อนว่า ดีอย่างไร เพื่อนำไปสู่ความสนใจ และตัดสินใจซื้อ

ทุกวันนี้คนไทยใช้เวลาบนโลกออนไลน์เยอะ และเทรนด์ขยับมายังแพลตฟอร์มมือถือมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นในการพัฒนาคอนเทนต์ หรือโฆษณา จะทำอย่างในอดีตไม่ได้แล้ว ที่คอนเทนต์ หรือโฆษณา สร้างสรรค์ให้เหมาะสมกับฟอร์แมตคอมพิวเตอร์ แล้วนำมาลงมือถือ แต่ปัจจุบัน ต้องทำสำหรับฟอร์แมตโทรศัพท์มือถือโดยเฉพาะ 

ขณะเดียวกันวิดีโอเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากวิดีโอโฆษณาแล้ว ต้องมีวิดีโอรีวิวจากบุคคลที่สาม ไม่ว่าจะเป็นนักข่าว หรือผู้ใช้จริง เพราะข้อมูลจากวิดีโอรีวิวเหล่านี้ มีแหล่งข้อมูลที่ลูกค้าใช้ศึกษา ก่อนเดินไปที่โชว์รูมรถ รวมทั้งควรมีไลฟ์สไตล์คอนเทนต์ เพื่อเชื่อมโยงสินค้าเข้ากับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคได้มากขึ้น คุณยอดชาย ซื่อวัฒนากุล Corporate General Manager / Office of Marketing Communication บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับกลยุทธ์ Digital Marketing 

Mitsubishi Motors Thailand

พร้อมขยายความเพิ่มเติมว่า ถ้าแบรนด์ Tailor-made คอนเทนต์ให้ตรงจริตกับลูกค้าแต่ละช่องทางสื่อได้ จะสามารถดึงคนดูให้อยู่กับแบรนด์ได้ ที่สำคัญเวลาปล่อยวิดีโอ หรือโฆษณาออกไป ในที่สุดแล้วแบรนด์ต้องพาผู้บริโภคไป Landing ที่หน้าเว็บไซต์ของแบรนด์ ซึ่งในเว็บไซต์สามารถเก็บข้อมูล และติดตามผลได้ โดยวัดไปถึง Conversion Rate จากคนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ผสานความเชี่ยวชาญจากพันธมิตรธุรกิจ

ภายใต้กลยุทธ์การตลาดของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ใช้ Data-driven ได้ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ผู้เชี่ยวชาญสายธุรกิจต่างๆ ทั้งมีเดีย เอเยนซี ด้านวางแผนสื่อ – ครีเอทีฟ เอเยนซี ด้านสร้างสรรค์โฆษณา และมี Google มาแชร์เครื่องมือดิจิทัล และข้อมูล Insight ตลาด – ผู้บริโภค เพื่อใช้สำหรับสร้างสรรค์คอนเทนต์ หรือโฆษณา และวางแผนสื่อได้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น 

เราได้รับข้อมูล Insight และได้รับการอัพเดทเครื่องมือใหม่ๆ จากทาง Google และในด้านความคิดสร้างสรรค์ ได้จากครีเอทีฟ เอเยนซี ขณะที่การวางแผนสื่อโฆษณา ทำงานกับมีเดีย เอเยนซี เมื่อเราได้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านมาเสริมทัพ ทำให้การทำงาน Seamless และกระสุนยิงตรงเป้าได้มากขึ้น Potential Prospect จะทำให้เกิด Conversion Ratio ที่มีคุณภาพ 

Mitsubishi Motors Thailand

 

Kickoff ด้วยมิตซูบิชิ ไทรทัน

Digital Marketing ใหม่ของมิตซูบิชิมอเตอร์สประเทศไทยเริ่มต้นด้วยโปรดักต์เรือธง “Mitsubishi New Triton” ที่เปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว 

ความท้าทายของ“New Triton” คือ ตลาดรถกระบะ เป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันสูง ขณะเดียวกันจำนวนแบรนด์ที่ผู้บริโภคพิจารณายังเพิ่มจาก 3 แบรนด์เป็น 5 แบรนด์ และช่องทางการค้นหาข้อมูลหลัก ใช้ช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะ Search Engine และ Video Online มาประกอบการพิจารณาตัดสินใจ

ดังนั้นโจทย์การตลาด“New Triton” อยู่ที่สร้างการรับรู้ในแบรนด์-สินค้าใหม่ และทำให้เป็นหนึ่งในสินค้าที่ผู้บริโภคพิจารณาซื้อ เพื่อนำไปสู่การเพิ่มยอดขายในกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์  

เพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้วางแผนกระบวนการไว้ว่า ก่อนเปิดตัว New Triton และวิดีโอโฆษณา เอาข้อมูล Insight มาผสานเข้ากับงานครีเอทีฟ เพื่อสร้างสรรค์คอนเทนต์โฆษณา โดย Google ใช้เครื่องมือ Machine Learning มาช่วยประเมินงานครีเอทีฟดังกล่าว และให้คำแนะนำแนวทางที่จะสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพบนแพลตฟอร์มดิจิทัล 

ขณะเดียวกันวางแผน “Media Strategy” ที่ต้องสร้างให้เกิดการรับรู้ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด ในช่วงระยะเวลาอันสั้น 

โดยในช่วงอาทิตย์แรกของการเปิดตัวได้ใช้กลยุทธ์ “Takeover Content” บนแพลตฟอร์ม YouTube เพื่อสร้าง Share of Voice และ Awareness ให้กับผู้ที่เข้ามาชมคอนเทนต์เกี่ยวกับรถยนต์ 

หลังจากนั้นอีก 3 อาทิตย์ถัดมาได้ Takeover Content ที่เกี่ยวกับรถกระบะเพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มคนที่ต้องการซื้อรถกระบะโดยเฉพาะ 

นอกจากนี้ภายใต้แคมเปญเปิดตัว New Triton ยังใช้ Ad Format ที่หลากหลายเช่น Masthead (ขึ้นหน้าแรกของ YouTube Homepage), Skippable Ad 30 วินาทีควบคู่กับการทำ “SEM” (Search Engine Marketing) เพื่อให้ไม่พลาดกลุ่มเป้าหมาย 

โฆษณาบน YouTube ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ส่วนใหญ่เป็นแบบ Skippable แต่บางครั้งเรามีผสมผสานกับ Non-Skip เพราะเป็นเรื่องของ Stage ทางการตลาด อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นแบบ Skippable หรือ Non-skip หัวใจสำคัญอยู่ที่การจับกลุ่มเป้าหมายให้ถูกต้อง เพราะถ้าเราเจอคนที่กำลังสนใจซื้อรถอยู่แล้ว และรู้ว่าเขาสนใจรถประเภทไหน การก่อความรำคาญให้กับคนดูจะลดลง 

อย่างกลุ่มคนที่กำลังสนใจซื้อรถกระบะ คนกลุ่มนี้อาจยังไม่ได้ค้นหาข้อมูลแบรนด์ของเราก็ได้ แต่เป็นกลุ่มที่มีโอกาสสูง เราสามารถประเมินได้ว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้ อยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับรถกระบะ เราก็นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับรถเซ็กเมนต์นี้ และแบรนด์ของเราให้กับเขา 

Mitsubishi motors Thailand 

 

เจาะลึกสถิติชี้ว่าเดินมาถูกทาง!  

แคมเปญ New Triton มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้ใช้เครื่องมือวัดผล “Brand Lift Survey” ของ YouTube เพื่อดูระดับการจดจำโฆษณา (Ad Recall), การรับรู้ของผลิตภัณฑ์ (Product Awareness) และใช้เครื่องมือ Google Search เพื่อวัด Conversion Rate บนเว็บไซต์ 

ผลปรากฏว่าแคมเปญ New Triton ระดับของการจดจำโฆษณาเพิ่มขึ้น 72% ขณะที่ระดับการรับรู้ผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นเป็น 45% ซึ่งระดับการวัดผลทั้งสองส่วนจัดอยู่ในกลุ่ม BEST-IN-CLASS ของ Google 

และสำหรับ Conversion Rate บนเว็บไซต์เพิ่มขึ้นทั้ง 3 ส่วนคือจำนวนคนขอใบราคา, จำนวนคนลงทะเบียนเพื่อทดลองขับและยอดดาวน์โหลดโบรชัวร์เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้า

Mitsubishi Motors

หลังจากผ่านช่วงเปิดตัวและสร้างการรับรู้ขณะนี้แคมเปญ New Triton เข้าสู่เฟส 2 เน้นสร้างการพิจารณาตัดสินใจด้วยการนำเสนอฟีเจอร์รถยนต์ผ่านมุมมองที่น่าสนใจและแทรกการสาธิตเช่นจัดทดลองขับรถในกลุ่มสื่อมวลชนซึ่งคอนเทนต์ Test Drive ที่ได้จากสื่อมวลชนเป็นคอนเทนต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง

การปรับสูตร Digital Marketing ใหม่ของมิตซูบิชิมอเตอร์สประเทศไทยครั้งนี้ไม่เพียงแต่ใช้กับ New Triton เท่านั้นต่อไปเตรียมขยายไปยังรถยนต์เซ็กเมนต์อื่นของมิตซูบิชิมอเตอร์สด้วยเช่นกัน 

เนื่องจากดิจิทัล dynamic มาก เปลี่ยนเร็ว เพราะฉะนั้นกุญแจสำคัญ คือปรับตัวทุกคนต้องปรับตัว แต่ก่อนจะปรับตัว คุณต้องรู้ตัวก่อน

สิ่งที่ทำให้รู้ตัว ถ้าอยู่คนเดียว อาจรู้ตัวช้า ดังนั้นเราให้ความสำคัญกับพาร์ทเนอร์ ผมยืนยันว่าเราไม่ใช่ One Man Show ถ้าไม่มีทีมช่วย เรามาถึงตรงนี้ไม่ได้ ขณะเดียวกันถ้ามีเพื่อนเก่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญ นำเสนอข้อมูลเข้ามา ย่อมทำให้เรารู้ตัวได้เร็วกว่าใคร และทำให้มีเวลามากขึ้นในการคิดแผนปรับตัว 

เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าหลายแบรนด์ที่หายไป ไม่ใช่เพราะแบรนด์ไม่ดี หรือโปรดักต์ไม่ดี แต่อยู่ที่ปรับตัวไม่ได้ ทำให้ที่ผ่านมาเราจะเห็นแบรนด์ใหญ่หลายแบรนด์ที่ปรับตัวไม่ทัน ต้องล่มสลายไปในที่สุดคุณยอดชาย กล่าวทิ้งท้าย 

Mitsubishi Motors Thailand

*บทความนี้เป็นประโยชน์หรืออยู่ในความสนใจของคุณหรือไม่? ร่วมตอบคำถาม พร้อมลุ้นรับ exclusive gifts จาก Google

อ่านเพิ่มเติมบทความเอ็กซ์คลูซีฟ Think with Google X Marketing Oops!

โดย


  • 357
  •  
  •  
  •  
  •  
WP
อยู่ในแวดวงนิตยสารธุรกิจการตลาดกว่าสิบปี สนุกและชอบติตตามเทรนด์ ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ และอยากเรียนรู้เพิ่มเติมในแพลตฟอร์มดิจิทัล มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การตลาดและดิจิทัลร่วมกันนะคะ