ไม่ว่าจะเป็นตัวแม่ช่องไหน หรือเดินพรมแดงมาแล้วเท่าไหร่ อาจจะไม่ได้การันตีความดังระดับแมสของดาราคนนั้นได้เลยหากไม่ได้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของ “มิสทิน” คำพูดนี้ไม่เกินจริงเลยหากเปิดทำเนียบ 7 พรีเซ็นเตอร์ของมิสทิน ไล่ตั้งแต่ อั้ม พัชราภา, แพนเค้ก เขมนิจ, พลอย เฌอมาลย์, ญาญ่า อุรัสยา, ปู ไปรยา, มิ้นต์ ชาลิดา และ มิน พีชญา ทั้งหมดนี้คือเหล่า 7 นางฟ้าของมิสทิน ที่ต้องโด่งดังในระดับมหาชนถึงจะมีสิทธิเดินเข้าทำเนียบ Hall of fame ของมิสทินได้
แต่ “มิสทิน” คงไม่ได้รับความนิยมเพียงเพราะว่ามีพรีเซ็นเตอร์ที่โด่งดังเท่านั้น ทว่า ในแง่ของการตลาด “มิสทิน” ก็นับว่าเป็นแบรนด์ที่มีกลยุทธ์ทางการตลาดที่จัดจ้านไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเปิดตัวสินค้าชนิดใดก็สามารถสร้างความน่าสนใจได้อยู่เสมอ
และในครั้งนี้ Marketing Oops! เราได้มีโอกาสจับเข่าคุยผู้อยู่เบื้องหลังกลยุทธ์ทางธุรกิจสำคัญมากมายของมิสทิน ซึ่งทำให้ครองความเป็นอันดับ 1 ของแบรนด์เครื่องสำอางไทยมาอย่างยาวนาน ได้แก่ “คุณดนัย ดีโรจนวงศ์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายเครื่องสำอางมิสทิน ที่จะมาเผยหมดทุกกลเม็ดเด็ดทางการตลาดซึ่งทำให้ “มิสทิน” ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในทุกวันนี้
กลยุทธ์การใช้พรีเซ็นเตอร์
คุณดนัย เผยถึงเหตุผลที่คัดเลือกแต่ดาราระดับ A-List ของไทยมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ว่า เนื่องจากธุรกิจเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความสวยความงาม และสำหรับ “มิสทิน” เองเป็นตลาดแมส นั่นหมายความว่าเรามีกลุ่มลูกค้าที่กระจายทั้งประเทศ ทั่วทุกตำบล อำเภอ หมู่บ้าน ดังนั้น โอกาสที่จะสื่อสารให้กับลูกค้าในกลุ่มแมส คงหนีไม่พ้นบุคคลที่กลุ่มแมสชื่นชอบนั่นคือการเลือกใช้ดาราดังในการนำเสนอสินค้า
“เพราะฉะนั้นการเลือกพรีเซ็นเตอร์ของเราจึงจำเป็นมากๆ ที่จะต้องเลือกบุคคลที่รู้จักกันในวงกว้างมากๆ ต้องเป็นดาราระดับแถวหน้า นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เรามี 7 นางฟ้าทำให้เราเป็นที่รู้จัก”
เผยเคล็ดลับการทำงานกับ ‘ตัวแม่’ ในวงการ
ในการทำงานร่วมกับคนจำนวนมาก และที่สำคัญเป็นคนดังในวงการ การที่จะยึดเหนี่ยวจิตใจกันได้มากที่สุด ไม่ใช่เรื่องของเงิน คุณดนัย บอกกับเราว่า ความจริงใจ และการอยู่เป็นครอบครัวสำคัญยิ่งกว่าอะไร
“ในการทำงานของมิสทินกับพรีเซ็นเตอร์แต่ละท่านนั้น นอกจากการพิถีพิถันในการสื่อสารแล้ว เราก็ยังให้ความอบอุ่นด้วยเปรียบเสมือนพรีเซ็นเตอร์ท่านนั้นเป็นหนึ่งในครอบครัวของเรา แปลว่าในการทำแต่ละชุดแต่ละแคมเปญเราก็จะมีโอกาสที่จะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเพื่อให้พรีเซ็นเตอร์ออกมานั้นเป็นบุคลิกของเราจริงๆ ไม่ต้องการไปบิดเบือน เปลี่ยนลุคส์ หรือเปลี่ยนคาแร็คเตอร์ของแต่ละท่านเลย เพราะฉะนั้นการร่วมงานกันจึงมีแต่ความอบอุ่น ก็เปรียบเสมือนเป็นเพื่อนเป็นหนึ่งในครอบครัวของเรา”
มิสทิน “นวัตกรรม” แห่งความงาม
คุณดนัย กล่าวว่า แน่นอนว่ากลยุทธ์การเลือกพรีเซ็นเตอร์ไม่ใช่เพียงแค่กลยุทธ์เดียวที่จะบอกได้ว่าเราประสบความสำเร็จ แต่การนำเสนอการสร้างความแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลาของมิสทินต่างหากที่ทำให้เราเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
“อย่างคอลเลคชั่นลิปสติกวันนี้ Mistine Yes It’ Lip เป็นนวัตกรรมใหม่ของลิปสติก ซึ่งผมบอกได้เลยว่าในประเทศไทยเราเป็นเจ้าแรกที่นำเสนอลิปส์ในรูปของปากกาเมจิ ซึ่งเราพบว่าสุภาพสตรีที่ทาลิปสติกอยู่บ่อยๆ จะมีปัญหาว่าเมื่อทาแล้วจะเลอะและไม่คม เพราะฉะนั้นการผลิตสินค้าที่เป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ คือการทำลิปสติกให้เป็นในรูปแบบของแท่งเมจิก เมื่อทาลงไปแล้วก็จะให้เส้นที่คม และเมื่อมีเส้นที่คมชัดแล้วทำให้สามารถที่จะวาดลวดลายเป็นรูปแบบต่างๆ ได้ เรียกว่าสามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปได้อย่างเต็มที่ รังสรรค์ไอเดียต่างๆ ได้มากมาย เพื่อสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เรียกได้ว่าสิ่งนี้คือจุดขายของเรา ที่มักจะสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อความงามออกมาอยู่บ่อยๆ”
นั่นหมายความว่าเคล็ดลับสำคัญของมิสทินก็คือ การเป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา ทำให้เป็นที่นิยมอยู่และคงความเป็นเจ้าตลาดมาอย่างยาวนาน
Yes It’s Lip นวัตกรรมตัวใหม่จากมิสทิน
สำหรับลิปสติกรุ่นใหม่ Yes It’s Lip เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ไม่นานนั้น เป็นนวัตกรรมลิปปากกาเมจิกเนื้อทินท์ พร้อมลิปสมูทเธอร์ ดีไซน์รูปแบบแท่งปากกา 2 หัวในแท่งเดียว ซึ่งด้านปากกาเมจิกนี่เองที่จะช่วยวาดริมฝีปากในสไตล์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ประกอบกับสีสันที่สวยสดชัด มีให้เลือกถึง 4 เฉดสี เพื่อให้ผู้หญิงได้สนุกกับการแต่งแต้มสีสันบนเรียวปาก ส่วนด้านลิปสมูทเธอร์เป็นปาล์มสีนู้ดช่วยเกลี่ยสีลิปให้ดูกลมกลืนหรือไล่ให้ดูมีมิติอีกทั้งยังช่วยบำรุงริมฝีปากอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นลิปสติกไม่กี่แท่งที่ทำให้สาวๆ ได้ดีไซน์สีสันบนริมฝีปากของตัวเองภายในแท่งเดียว สะดวกสำหรับการพกพาติดกระเป๋า เหมาะกับสาวยุคใหม่ที่ชอบความคล่องตัวอย่างยิ่ง
เปิดตัวพร้อมด้วยพรีเซ็นเตอร์สาวสวย “มิน พีชญา วัฒนามนตรี” ที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงยุคใหม่ที่ทั้งสวย เก่ง มั่นใจในตนเอง และมีเสน่ห์ในแบบฉบับของตัวเอง
httpv://youtu.be/MhoydNjN5Yc
กลยุทธ์การนำเสนอสินค้าในแบบมิสทิน
และนอกเหนือจากกลยุทธ์ของตัวสินค้ามิสทินเองแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ที่คุณดนัยยืนยันว่าเป็นอีก Strategy หนึ่งของแผนงานทางธุรกิจ นั่นคือการนำเสนอเสนอสินค้าที่ไม่เหมือนใคร
“อย่างการเปิดตัวลิปสติกรุ่นใหม่ ภายใต้แคมเปญ Mistine Yes It’s Lip เราก็ยังเปิดตัวลิปส์ Limited Edition ที่ประดับด้วยทองคำแท้ ซึ่งนอกเหนือจากจะช่วยสร้างมูลค่าให้กับตัวลิปสติกแล้วอีกประการหนึ่งคือเพื่อเป็นการสมนาคุณให้กับลูกค้าที่เป็นแฟนของมิสมินกันมานาน และบางท่านที่อาจจะอยากเก็บลิปสติกรุ่นนี้เอาไว้เป็นของสะสมหรือของที่ระลึก หรืออยากจะเอาเจ้าแหวนปลอกทองคำนี้ไปขายต่อก็จะได้มูลค่าเพิ่มขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นกลยุทธ์ของการสื่อสาร เช่น สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่เราใช้เรียกความสนใจจากคอนซูเมอร์ได้”
ความร่วมมือกับเล่งหงษ์
การจับมือสร้างสรรค์ลิปสติก Mistine Yes It’s Lip รุ่น Limited Edition ผลิตด้วยทองคำแท้ น้ำหนัก 1 สลึงในราคาเพียง 2,900 บาท และมีเพียงแค่ 1,000 แท่งเท่านั้น คุณดนัยกล่าวว่า ทางทีมงานการตลาดของเราก็มองเห็นถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมความงาม โดยรังสรรค์ให้ตัวสินค้ามีสีสันมากขึ้นและก็มีแนวคิดว่าเราอยากจะทำ Limited Collection กับลิปสติกคอลเลคชั่นนี้ โดยที่มีเครื่องประดับเป็นแหวนทองคำ นอกจากกจะเพิ่มมูลค่าแล้วก็เชื่อว่าผู้ที่ได้รับลิปรุ่น Limited นี้ไป จะได้รับความรู้สึกที่ดีด้วย นี่จึงเป็นที่มาที่เรานึกถึงทางห้างทองเล่งหงษ์ซึ่งเป็นพันธมิตรกับเรามา 10 กว่าปีแล้ว ทำให้เกิดการร่วมมือเปิดตัวลิปรุ่นนี้ร่วมกัน
“เล่งหงษ์” มั่นใจในกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่งของมิสทิน
ด้านห้างทองเล่งหงษ์ โดยคุณพีรพันธ์ วชิรคพรรณ กรรมการผู้จัดการห้างขายทองเล่งหงษ์ เผยสาเหตุที่ได้จับร่วมกับมิสทินในการสร้างสรรค์ ลิปสติกทองคำ รุ่น Limited Edition ว่า มิสทีนกับเล่งหงษ์เป็นคู่ค้ากันมายาวนานกว่า10 ปีแล้ว เวลามิสทีนถ้ามีโปรโมชั่นเกี่ยวกับทอง ก็จะมาปรึกษากันตลอดว่าเราพอจะทำอะไรร่วมกันได้บ้าง เช่น การดีไซน์ การทำชิ้นงานทองต่างๆ ทั้งนี้ กับการทำงานร่วมกันใน Limited Edition ครั้งนี้ ต้องเรียนตามตรงว่าจริงๆ แล้วเป็นความคิดของทางมิสทีน อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการตลาดของมิสทีนนั้นแข็งแกร่งมาก มีการทำโปรโมชั่น และมาร์เก็ตติ้งที่สตรองมากๆ ซึ่งในส่วนของเล่งหงษ์นั้น เราเป็นฝ่ายสนับสนุนในแง่ของการดีไซน์ การออกแบบให้กับโปรดักส์รุ่นนี้ของมิสทีน
“เราได้รับโจทย์จากทางมิสทีนว่าอยากจะสร้างความพิเศษให้กับลิปสติก เราก็เลยมาคิดว่า น่าจะนำเสนอในลุคส์ของความคลาสสิค เรียบหรู ดูดี มาใช้ในการดีไซน์สินค้า เน้นไปทางยุโรปนิดๆ ซึ่งสามารถนำมาใช้งานได้หลายฟังก์ชั่น ไม่ว่าจะเป็น แหวน สร้อย จี้ หรือปลอกบนแท่งลิปสติก ใช้งานได้หลากหลาย หากลูกค้าใส่ที่นิ้วไม่ได้ก็สามารถนำมาทำเป็นแอคเซสเซอรี่อย่างอื่นได้เหมือนกัน”
เล่งหงษ์ยินดีรับคืนตามราคาทองในท้องตลาด
คุณพีรพันธ์ ยังบอกว่า สำหรับทองที่เราใช้เป็นทอง 96.5% เป็นทองมาตรฐานตามที่ขายอยู่ในประเทศ เป็นทองแบบเดียวกับที่เราขายอยู่ที่หน้าร้านของเรา ซึ่งในส่วนของการรับคืนนั้นเรายินดีรับคืนอยู่แล้วเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ของทางร้านตามราคาตลาดปกติ
“อย่างไรก็ตาม ขอให้คำแนะนำอย่างหนึ่งว่า เวลาที่จะไปขายคืนที่ไหนอยากจะย้ำว่าให้ไปคืนกับร้านนั้น อันนี้ที่จริงก็เป็นความรู้ทั่วไปของการขายทอง คือเมื่อเวลาที่เราซื้อทองร้านไหนก็ควรจะไปขายคืนในร้านนั้น เพราะว่ามีโอกาสที่ร้านอื่นซึ่งไม่ใช่เจ้าของทองจะตีราคาไม่ได้ตามที่ต้องการ บางร้านอาจจะมีเทคนิคในการทำให้ราคาลดลงได้”
เล่งหงษ์ ยึดมั่นคุณธรรมในการค้า พร้อมก้าวสู่ออนไลน์เช่นกัน
สำหรับห้างขายทองเล่งหงษ์ ก่อตั้งมานานกว่า 50 ปีแล้ว คุณพีรพันธ์เองก็เป็นหนึ่งผู้บริหารรุ่นที่ 3 ของตระกูล กล่าวย้ำว่า สิ่งที่ตนได้รับการปลูกฝังมาในการทำการค้าก็คือ ต้องมีความซื่อสัตย์ มีคุณธรรม จะทำกิจการอะไรก็จะต้องยึดถือสิ่งนี้เป็นสำคัญ นี่คือเทคนิคการทำธุรกิจที่สำคัญที่คุณพีรพันธ์จดจำไม่ลืม นอกจากนี้ ในช่วง 10 ปีหลัง ตนเห็นว่าในช่วงนี้เทคโนโลยีต่างๆ ก็เข้ามามีบทบาทในการค้าขายมากขึ้น ดังนั้น ทางเล่งหงษ์เราก็มีเว็บไซต์ เราทำโซเชียล มีเดีย มี Facebook มีการใช้เว็บไซต์ในการให้ความสะดวกสบายกับลูกค้าในการซื้อขายออนไลน์ได้ด้วย เราสามารถที่จะมาซื้อทองแท่งแท้ๆ ผ่านทางออนไลน์ได้แล้วมารับของที่ร้าน หรือสำหรับนักลงทุนก็จะมีอีกระบบไว้สำหรับรองรับเช่นกัน
“การทำการตลาดนั้นเราจะเน้นว่าคนไทยอยากจะให้มาซื้อของที่คนไทยด้วยกันเป็นผู้ผลิต อย่างมิสทินเป็นเครื่องสำอางที่มีคุณภาพผลิตโดนคนไทย และในการร่วมมือกันกับร้านทองครั้งนี้คิดว่า จะทำให้คนรุ่นใหม่หันมาให้ความสนใจเรื่องของทองด้วย นอกเหนือจากเรื่องความสวยงาม”
ในแง่การตลาดของ มิสทิน
ในแง่ของการตลาด คุณดนัย เผยว่า หากแบ่งในส่วน segment ขายตรง “มิสทิน” จะมีสัดส่วนการตลาดอยู่ที่ประมาณ 40% โดยผู้นำหลักจะเป็นแอมเวย์ มิสทิน และกิฟฟารีน แต่ถ้ามองในแง่ของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางทั้งหมด Market Share อยู่ที่ประมาณ 30% ส่วนถ้าเป็นในกลุ่มของคัลเลอร์ คอสเมติก เครื่องสำอางที่เป็นประเภทสีสันตั้งแต่อายแชโดว์ มาสคาร่า ลิปสติก รองพื้น ฯลฯ เราจะอยู่ที่ประมาณ 40%
“ด้วยสินค้าของเรามีความหลากหลาย และมิสทินเองก็มองตัวเราเองว่าเป็น ‘แฟชั่นของเครื่องสำอาง’ แปลว่าเราจะมีสินค้าที่เทิร์นโอเวอร์อย่างต่อเนื่อง คอลเลคชั่นใหม่มา ก็จะมีอีกคอลเลคชั่นหนึ่งมาแทน และด้วยการที่มีคอลเลคชั่นใหม่ๆ มาอยู่เรื่อยๆ ทำให้เรามีสินค้าอยู่ประมาณ 3,000 กว่า SKU ทำให้ผู้บริโภคสนุกกับการเลือกสินค้าที่มีความหลากหลาย และยังมีสินค้าที่เปลี่ยนใหม่อยู่เรื่อยๆ เพื่อทำให้มีการซื้อสินค้าบ่อยขึ้น และแน่นอนสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์มิสทินก็คือ ‘ราคา’ ต้องเรียกว่าเป็นสินค้าราคาประหยัด สบายกระเป๋า และคุณภาพที่สวนทางกับราคา ทำให้การเลือกซื้อสินค้าจากมิสทินไม่ต้องคิดมาก”
รุกตลาดออนไลน์มากขึ้น
ในนาทีที่ทุกแบรนด์ Go Online มิสทินเองก็ไม่พลาดเช่นกัน ซึ่งคุณดนัยเผยถึงแผนงานด้านการตลาดออนไลน์ ว่า เรามองช่องทางการสื่อสารผ่านทางออนไลน์ เห็นเทรนด์ของการเติบโตอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากแบรนด์ของเราเป็นแมสมากๆ ดังนั้น ในปีนี้เราก็มีโครงการที่จะลอนช์แอพพลิเคชั่นของเราเอง ซึ่งแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ อย่างสิ้นเชิง โดยเราตั้งชื่อแอพพลิเคชั่นนี้ว่า “ยุพิน” เป็นชื่อของสาวมิสทินคนแรกของเราเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
สำหรับแอพฯ ยุพินของมิสทีนนั้น จะมี 2 บทบาท บทบาทแรกคือการเป็นแคตตาล็อคออนไลน์ คือให้ลูกค้าสามารถสั่งสินค้าออนไลน์ตรงไปยังสาวมิสทีน เมื่อสาวมิสทีนดูออร์เดอร์การสั่งซื้อทั้งหมดแล้ว ก็จะกดส่งคอนเฟิร์มเพื่อสั่งสินค้ากับทางบริษัทอีกทีหนึ่ง ซึ่งจะเห็นว่าเป็นการทำงานร่วมกันอย่างรวดเร็วของ 3 ฝ่าย พูดง่ายๆ ว่าเป็นแอพฯ ที่สนับสนุนการทำงานให้สาวมิสทีนทำงานได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีกำหนดจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมนี้
“แอพฯ ที่ทำออกมานี้เหตุที่เราไม่ได้ทำในลักษณะสั่งสินค้าไปยังบริษัทโดยตรง เพราะเราไม่ต้องการไปแย่งงานของสาวมิสทิน แต่สิ่งนี้จะไปช่วยการทำงานให้คล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัญหาที่เราพบก็คือ ปัญหาฮาร์ดก็อปปี้แคตตาล็อคสินค้าหาย ซึ่งการให้ผู้บริโภคดูสินค้าผ่านแอพฯ เลยก็จะหมดปัญหาการทำหาย หรือทำให้สมาชิกท่านอื่นไม่ได้ดูด้วย และอีกสิ่งหนึ่งที่เรามองไปข้างหน้าคือแคตตาล็อคฉบับออนไลน์นี้จะทำให้สมาชิก (สาวมิสทิน) เพิ่มลูกค้าได้อย่างง่ายดาย หรือแม้จะสั่งกันข้ามประเทศก็ยังได้”
นอกจากนี้ ในส่วนของงบประมาณการทำตลาดออนไลน์ ในปีที่แล้วเราจัดสัดส่วนไว้ที่ 10% และเนื่องจากปีนี้และแนวโน้มในอนาคตตลาดออนไลน์มีการเติบโตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ก็มีแนวโน้มที่จะจัดสรรงบฯ ในส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเปิดตัวแอพฯ “ยุพิน” แล้วก็คาดว่าน่าจะเพิ่มขึ้นไปด้วย น่าจะมากกว่า 10% อย่างแน่นอน
ภาพรวมเศรษฐกิจกระทบกับตลาดเครื่องสำอางหรือไม่
สภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเนือยในปีนี้ คุณดนัยยังมั่นใจว่าตลาดเครื่องสำอางยังสามารถไปต่อได้ แม้กำลังซื้อจะลดลงก็ตาม โดยเน้นกลยุทธ์การเสริมพลังใจให้กับสมาชิกสาวมิสทีน
“ในภาพรวม 2 ปีที่ผ่านมา เราก็มองว่ากำลังซื้อก็ลดลง โดยเฉลี่ยลดลง 5-7% แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเรามิสทินทำคือเพิ่มเติมจำนวนสมาชิก (สาวมิสทิน) ให้เพิ่มขึ้น และยังมีกลยุทธ์ที่จะทำให้สมาชิกขายกับเรายาวๆ ไม่จำเป็นต้องขายเยอะ แต่อยู่กับเรายาวๆ ซึ่งเราก็ใช้หมดในกลยุทธ์ทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็น Above หรือ Below the line เพื่อทำให้สมาชิกมีพลังมีแรงจูงใจในการขาย และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจำนวนสมาชิกของเราก็เพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 12% ก็ถือว่ามาชดเชยกับกำลังซื้อที่หดหายลง และสำหรับปีที่ผ่านมาตลาดเครื่องสำอางโตประมาณ 3-4 หมื่นล้าน การเติบโตก็ไม่มากนักคือราว 3% ซึ่งทางมิสทินเองก็ได้ผลักดันกลยุทธ์ต่างๆ ของเราออกไปมากมาย ทั้งการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ความร่วมมือกับคู่ค้าต่างๆ รวมทั้งการก้าวสู่ออนไลน์มากยิ่งขึ้น ก็เชื่อว่าเราจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง และคงความเป็นอันดับหนึ่งต่อไป”
แผนงานในอนาคต
คุณดนัย เผยว่า มิสทินเราเป็นแบรนด์ที่มีกลยุทธ์การนำเสนอสินค้าในการสื่อสารไปยังผู้บริโภค ซึ่งที่ผ่านมาเราก็มีความร่วมมือกับพันธมิตรมากมาย เช่น ไทยแอร์เอเชีย อย่างที่เราเคยนำลิปไปจำหน่ายบนเครื่องบิน เปิดตัวแป้งที่มีตลับเพชรร่วมกับบิวตี้เจมส์ ที่มีมูลค่า 30 กว่าล้าน
“ผมก็เชื่อว่าในโอกาสต่อๆ ไป มิสทิน เราซึ่งเป็นเจ้าของกลยุทธ์ ในอนาคตเราก็จะมีการ collaboration ร่วมกับแบรนด์อื่นอีกอย่างแน่นอน”
นิยามสาวมิสทิน 2016
“สุภาพสตรีมีบุคลิกที่เป็นตัวของตัวเอง มีความเชื่อมั่น เป็นสาวยุคใหม่ที่ฉลาดซื้อ ฉลาดเลือก และก็มีบุคลิกของการแต่งหน้าที่ปราดเปรียว”
แม้สภาพเศรษฐกิจจะไม่เป็นใจ อย่างไรก็ตาม มีทฤษฎีหนึ่งในสหรัฐฯ ที่เชื่อกันว่า เวลาที่เศรษฐกิจแย่ลิปสติกสีแดงมักจะขายดีเสมอ บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ธุรกิจสำอางในบ้านเราเติบโตไปได้ อย่างไรก็ตาม นี่คงไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมดที่ทำให้ “มิสทิน” แข็งแกร่งดังเช่นทุกวันนี้ แต่กลยุทธ์ต่างๆ ที่เราเห็นได้จากการสร้างสรรค์ของ “มิสทิน” ต่างหากที่ทำให้แบรนด์คนไทยเพื่อคนไทยอย่างมิสทินก้าวมายืนอยู่แถวหน้าได้อย่างมั่นคง