หลังจากสร้างชื่อและความแข็งแกร่งในตลาดไทยมากว่า 30 ปี วันนี้ ‘มิสทิน’ ได้ก้าวไปอีกขั้นในฐานะ Interbrand ที่ประสบความสำเร็จในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในตลาดจีน ที่ตอนนี้ทั้ง ‘ดัง’ และ ‘ปัง’ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแบรนด์หรือยอดขาย
ด้วยการวางคุณภาพของสินค้าในระดับมาตรฐานสากล สินค้ามีนวัตกรรม บวกกับการวางกลยุทธ์การตลาดที่ ว้าว ตั้งแต่การวางภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูอินเตอร์ การสร้างการรับรู้ผ่านพรีเซ็นเตอร์ที่ล้วนแล้วเป็นตัวแม่ของวงการ อาทิ อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ , พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ , คิมมี่-คิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส , เบลล่า-ราณี แคมเปน ฯลฯ
รวมไปถึงการมีช่องทางจัดจำหน่ายที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะตัวแทนจำหน่ายอย่าง ‘สาวมิสทิน’ สิ่งเหล่านี้ ถือเป็นหนึ่งในแต้มต่อของมิสทิน เพื่อก้าวสู่ Interbrand ของภูมิภาคเอเชียตามเป้าหมายที่ทาง คุณดนัย ดีโรจนวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด วางไว้ โดยปัจจุบันมิสทิน วางขายใน 14 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในอนาคต เตรียมเดินหน้าเข้าไปขยายการขายให้ครอบคลุมภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น รัสเซีย อินเดีย ฯลฯ
“แม้เราจะเป็นแบรนด์ไทย แต่วาง Position เป็นเครื่องสำอางในมาตรฐานสากล ไม่ได้มีคอนเซ็ปต์ความเป็นไทยมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น การที่เราเข้าตลาดเอเชียได้ ก็เพราะความพร้อมในตัวของสินค้า บวกกับความเชื่อมั่นในแบรนด์ของเราที่อยู่ในตลาดมากว่า 30ปี” คุณดนัยเล่าถึงกลยุทธ์การก้าวสู่สนามแข่งขันในฐานะ Interbrand ของเอเชีย
แบรนด์+เข้าใจผู้บริโภค กุญแจสู่ความสำเร็จ
นอกจากจุดแข็งข้างต้นแล้ว การบุกตลาดต่างประเทศ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ‘การเข้าใจผู้บริโภค’ ทั้งพฤติกรรม , รสนิยม , ความต้องการ เป็นต้น เพื่อนำมาเป็นโจทย์ให้สามารถวางกลยุทธ์และปรับตัวให้เข้ากับตลาดสากลได้
อย่างตลาดจีน ที่มิสทินกำลังโด่งดังและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในขณะนี้ ถือเป็นตลาดใหญ่และมีศักยภาพทั้งจำนวนประชากรและกำลังซื้อ โดยทางมิสทินได้เข้าไปปักธงเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาด Color Cosmetics ของจีนเพิ่งเริ่มต้น เพราะเดิมทีผู้หญิงจีนส่วนใหญ่ที่เกิดก่อนปี 2000 นิยมใช้ Skincare และแทบจะไม่ใช้ Color Cosmetics เลย
แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดนี้ในจีนได้มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากผู้บริโภคหันมานิยมใช้สินค้า Color Cosmetics มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม Post Millennials ด้วยกระแสที่เกิดขึ้น บวกกับสินค้าของมิสทินมีคุณภาพ เหมาะกับตลาดและผู้บริโภคชาวจีน จึงทำให้ตลาด Color Cosmetics ของมิสทินเติบโตเป็นอย่างมาก
ขณะที่ ‘แบรนด์’ ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะผู้บริโภคจีนมองว่า แบรนด์ไทยเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับแบรนด์ที่ผลิตในประเทศจีนเอง และสำหรับแบรนด์มิสทิน ผู้บริโภคจีนรับรู้ว่า เป็นแบรนด์ที่เกิดในไทยมานานกว่า 30 ปี จึงมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจในสินค้า
“การที่เรา Joint Venture นำสินค้าเข้าไปขายใน E-Commerce โดยเฉพาะ TMALL ในเครืออาลีบาบา เป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เราสำเร็จในจีน ซึ่งการขายผ่านช่องทางนี้จะเป็นในลักษณะ Cross Border E-Commerce ทำให้บริหารจัดการได้ง่าย เพราะไม่จำเป็นต้องมีกระบวนการเรื่องเอกสารต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง การเข้าตลาดจีนจึงเป็นเรื่องง่ายขึ้น”
จากการทำตลาด E-Commerce ในประเทศจีน แบรนด์มิสทิน เป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยมีการเปิด Flagship store ที่ประเทศจีน เพื่อยืนยันความสำเร็จนี้
ออกแป้งมิสทิน วิงส์ ตลับพิเศษหนึ่งเดียวในโลก ฉลองความสำเร็จ
ไม่เพียงแบรนด์ที่ติดตลาดทั้งในและนอกประเทศเท่านั้น การยอมรับการเป็น Interbrand ของมิสทิน ยังสะท้อนได้จากยอดขายของ ‘แป้งมิสทิน วิงส์’ ซึ่งตลอด 7 ปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทั้งตลาดในไทย และตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีน โดยตอนนี้ทั่วเอเชีย แป้งมิสทิน วิงส์ มียอดขายทะลุ 50 ล้านตลับแล้ว
และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จดังกล่าว ทางมิสทินจึงทำ Regional Campaigns ขึ้นมา ด้วยการออกแป้งวิงส์ตลับพิเศษหนึ่งเดียวในโลก ที่ประดับด้วยเพชรสีเหลืองธรรมชาติ จากช่างฝีมืออันดับ 1 ของบิวตี้เจมส์ ผู้นำแห่งวงการอัญมณี มีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านบาท
พร้อมกับขึ้นป้ายขนาดใหญ่ใจกลางไทม์สแควร์ มหานครนิวยอร์ก เพื่อประกาศถึงความสำเร็จของมิสทินในฐานะ Interbrand
โดยในจีนเอง ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมิสทินประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากนั้น ได้มีติดตั้งป้าย LED ณ เมืองหางโจว ที่ถือเป็นป้ายขนาดใหญ่ที่สุดในจีน และดึง ‘You Zhangjing’ สมาชิกวง Nine Percent ที่กำลังโด่งดังมาเป็นพรีเซนเตอร์ร่วมฉลองความสำเร็จด้วย
นอกจากนี้ยังได้จากออก ‘แป้งมิสทิน เรด วิงส์ รุ่น Limited Edition’ ที่เนื้อแป้งผสมไดมอนด์ชิมเมอร์ มีคุณสมบัติทำให้หน้าเป็นประกาย เนียนกระจ่างใสกว่ารุ่นปกติ ขณะเดียวกันก็ยังคงคุณสมบัติเด่นในเรื่องปกปิดแต่บางเบา และกันแดดไว้เช่นเคย
สำหรับสินค้ารุ่น Limited Edition ตัวนี้ มีการผลิตมาเพียง 5,000 ตลับ ราคาตลับละ 465 บาท เริ่มจำหน่ายพร้อมกันทั่วโลกเมื่อวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา หากใครต้องการครอบครองสินค้ารุ่นพิเศษนี้ สามารถสั่งซื้อได้ที่สมาชิกมิสทิน, Mistine Beauty Shop ทั่วประเทศ หรือทางแอปพลิเคชันนิ้งหน่อง
นี่เป็นเพียงภาพส่วนหนึ่งของ ‘มิสทิน’ ในการเดินหน้าบรรลุตามเป้าหมายการเป็น Interbrand ของภูมิภาคเอเชียที่วางไว้ ซึ่งเชื่อว่า จากนี้เราจะเห็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองอีกมากของแบรนด์นี้