เปิดแนวคิดมิชลิน กับแคมเปญ On the Road and Beyond ยกระดับการคิดค้นนวัตกรรมที่มากกว่าแค่บนถนนแต่ไปไกลถึงอวกาศ

  • 261
  •  
  •  
  •  
  •  

 

เมื่อพูดถึงแบรนด์ Michelin สิ่งแรกที่คนจะนึกถึงก็คือ “ยางรถยนต์” ผลิตภัณฑ์หลักที่ Michelin มีประสบการณ์พัฒนาข้ามผ่านประวัติศาสตร์ต่อเนื่องยาวนานกว่า 135 ปีแล้ว แต่ที่หลายคนอาจไม่รู้ก็คือ Michelin ไม่ได้เป็นเพียงบริษัทผลิตยางรถยนต์เท่านั้น แต่เป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมมากกว่าบนท้องถนน สร้างนวัตกรรมอื่นๆอีกมากมายรวมไปถึงนวัตกรรมที่ไปไกลถึงอวกาศ นำมาสู่แคมเปญล่าสุดของ Michelin อย่าง On The Road and Beyond สื่อสารความเป็นแบรนด์ผู้ผลิต “ยาง” ที่มุ่งมั่นคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆอย่างต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนทุกการเดินทางสู่ความยั่งยืน ไปสู่บริษัทนวัตกรรมที่นอกเหนือไปจากยางบนท้องถนน อย่างเช่นยางไร้ลมสำหรับเครื่องมือสำรวจอวกาศที่พัฒนาร่วมกับองค์การนาซ่าเพื่อสำรวจดาวเคราะห์ดวงใหม่ด้วย

 

Performance Made to Last ส่ง Michelin สู่แบรนด์อันดับ 1

แน่นอนว่ามาตรฐานของผลิตภัณฑ์หลักอย่าง “ยาง” ยังคงทำให้แบรนด์ Michelin ยังครองแชมป์แบรนด์ยางรถยนต์รถยนต์อันดับ 1 ของโลกทั้งในแง่มูลค่าบริษัทและยอดขายมาได้อย่างยาวนานในตลาด “ยาง” ที่มีมูลค่าสูงถึง 5.6 ล้านล้านบาท เป็นการครองบัลลังก์ได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะเปลี่ยนโฉมหน้าไปมากแค่ไหนก็ตามในปัจจุบัน

 

 

ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากนวัตกรรมยางที่มีมาตรฐานที่ Michelin ทำมาอย่างต่อเนื่องมีประวัติศาสตร์ย้อนไปไกลตั้งแต่เมื่อ 135 ปีก่อนในฐานะแบรนด์แรกที่คิดค้นยางแบบถอดได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนของการคมนาคมบนท้องถนนนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลังจากนั้น Michelin ก็พัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การคิดค้นยาง Radial ที่ให้ทั้งความปลอดภัยและประสิทธิภาพการขับขี่  พัฒนายางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงยางสำหรับสำรวจดาวเคราะห์ดวงใหม่

ความสำเร็จของ Michilin มีที่มาอีกส่วนหนึ่งจากปรัชญาการผลิตที่เรียกว่า  Performance Made to Last นวัตกรรมยางยั่งยืน ที่ Michelin ใช้สร้างยางที่คงสมรรถนะ ที่ดีเยี่ยมยาวนาน ปลอดภัย มั่นใจตั้งแต่วันแรกที่ใช้จนถึงวันที่เปลี่ยนยางรอบถัดไปให้ผู้ขับขี่มีประสบการณ์ที่ดีที่สุด และยังให้ประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดีเยี่ยมตั้งแต่กิโลเมตรแรกจนถึงกิโลเมตรสุดท้ายของอายุการใช้งานยางแนวคิดการออกแบบยางยั่งยืนของมิชลินที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ให้สมรรถนะดีเยี่ยมยาวนาน ปลอดภัย มั่นใจตั้งแต่วันแรกที่ใช้จนถึงวันที่เปลี่ยนยางรอบถัดไป​ ลดขยะจากการเปลี่ยนยางบ่อยเกินความจำเป็น นอกจากนี้ยังรวมไปถึงวิสัยทัศน์ VISION 2050 ของ Michelin ที่ตั้งเป้าที่จะให้ยาง Michelin ทุกเส้นที่ออกสู่ตลาดผลิตด้วยวัสดุยั่งยืน 100% ในปี 2050 นวัตกรรมเหล่านี้เป็นผลจากความมุ่งมั่นของ Michelin ที่ทุ่มเทกับการสร้างนวัตกรรมมาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นทุ่มงบลงทุนวิจัยและพัฒนามูลค่ามหาศาลเกือบ 1,200 ล้านยูโร มีพนักงานวิจัยและพัฒนามากกว่า 6,000 คนทั่วโลก และมีสิทธิบัตรที่ยัง active จำนวนมากถึง 11,000 ฉบับในปัจจุบัน

ความมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเหล่านี้ส่งผลให้ Michelin ถูกจัดอันดับให้ติด 100 บริษัทที่มีนวัตกรรมมากที่สุดในโลกได้รับการยอมรับจาก Clarivate™ ว่าเป็นหนึ่งใน “100 ผู้สร้างนวัตกรรมระดับโลกยอดเยี่ยม นอกจากนี้ในมุมผู้บริโภคเอง Michelin ก็ยังเป็นแบรนด์ยางรถยนต์ที่ผู้บริโภคชื่นชอบมากที่สุดด้วย โดยเฉพาะในประเทศไทยที่พิสูจน์ได้ด้วยการคว้ารางวัล Thailand’s Most Admired Brand ประจำปี 2024 มาได้อีกครั้งในปีนี้และเป็นการได้รับรางวัลต่อเนื่องยาวนานเป็นปีที่ 24 ติดต่อกันแล้ว

 

แบรนด์ที่อยู่คู่ทุการเดินทาง กับแคมเปญ Motion for Life

Michelin แบรนด์ยางรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศสเป็นแบรนด์ที่มี Brand Perception ในกลุ่มผู้บริโภคทั่วโลกที่แข็งแกร่ง โดย Michelin ค่อยๆพัฒนาการรับรู้แบรนด์จาก แบรนด์ยางรถยนต์ที่มีคุณภาพและสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ก้าวไปสู่การเป็นแบรนด์ยางรถยนต์คุณภาพและสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมและสามารถเชื่อมโยงกับ “การเดินทางบนท้องถนน” ทุกรูปแบบ ผ่านแคมเปญ Motion for Life ที่ Michelin เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2020

 

 

Motion for Life ทำหน้าที่สร้าง Brand Perception ให้แบรนด์ Michelin ในฐานะแบรนด์ที่ส่งมอบนวัตกรรมเพื่อ “ชีวิตที่ดีกว่าในการเดินทาง” ที่ไม่จำกัดเฉพาะยางรถยนต์เท่านั้นแต่ยังรวมไปถึง จักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถดับเพลิง รถพยาบาล รถโรงเรียน รถขนส่งสาธารณะ รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นอนาคตของอุตสาหกรรมรถยนต์ เรียกว่าแคมเปญนี้ สร้าง Brand Perception ให้กับ Michelin ให้กว้างออกไปอีกในฐานะแบรนด์ที่มีเทคโนโลยีเพื่อชีวิตการเดินทางของผู้คน

 

On the Road and Beyond ยกระดับสู่บริษัทแห่งนวัตกรรมระดับโลก

 

แน่นอนว่าในปี 2024 นี้ Michelin ยังไม่หยุดแค่นั้นเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ Michelin อย่างต่อเนื่องด้วยแคมเปญ On the Road and Beyond เป็นแคมเปญที่สื่อสารว่า Michelin ไม่ใช่แค่แบรนด์ที่อยู่กับการเดินทางบนถนนเท่านั้น แต่ยังเป็นแบรนด์ที่พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆเพื่อทำให้ชีวิตมนุษย์รวมถึงช่วยให้สิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้ดีขึ้นด้วย

 

On the Road รับเทรนด์รถพลังงานไฟฟ้า

สำหรับนวัตกรรม On the Road ยังคงเป็นสิ่งที่ Michelin ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นความเชี่ยวชาญหลักที่ทำให้ Michelin เดินทางมาถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะการพัฒนายางให้รองรับกับตลาด “รถยนต์ไฟฟ้า” ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะมีสัดส่วนถึง 50% ในตลาดรถยนต์โดยรวมในปี 2030 นี้และที่หลายคนอาจไม่รู้ก็คือปัจจุบันยาง Michelin “ทุกรุ่น” สามารถรองรับการใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีความท้าทายมากกว่ารถยนต์สันดาปได้แล้ว

จากประสบการณ์พัฒนา “ยาง” สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของ Michelin นับตั้งแต่ ยางสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของโลกตั้งแต่ปี 1899 หรือเมื่อ 125 ปีก่อน   ทำให้มิชลินเข้าใจถึงความท้าทายของรถไฟฟ้าในปัจจุบัน ซึ่งยาง Michelin ทุกรุ่นถูกออกแบบและผลิตให้สามารถใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าทุกรูปแบบ ทั้งรถยนต์ จักรยาน รถจักยานยนต์ รถบรรทุก รถบัส ได้แล้วทั้งหมดแล้ว ซึ่งต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะยางที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นมีความท้าทายมากกว่ายางสำหรับรถยนต์สันดาปอยู่หลายเรื่อง และ Michelin ก็พัฒนานวัตกรรมที่รองรับความท้าทายทั้งหมดเอาไว้ได้แล้วไม่ว่าจะเป็น “น้ำหนัก” ของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีมากกว่ารถยนต์สันดาบสิ่งนี้ทำให้ยางแบบเดิมจะสึกหรอเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ “เสียงรบกวน” ที่เกิดจากเนื้อยางที่สัมผัสกับพื้นถนนทำให้เกิดเสียงดังเข้ามาในห้องโดยสารมากขึ้นเพราะรถยนต์ไฟฟ้าจะไร้เสียงเครื่องยนต์ รวมถึงเรื่องของ “พลังงาน” ที่จำเป็นต้องขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพให้ระยะทางไกลมากที่สุดเพราะรถยนต์ไฟฟ้ามีข้อจำกัดเรื่องการเติมพลังงานที่ต้องใช้เวลานาน

ความท้าทายจากรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 3 เรื่องนี้ยาง Michelin “ทุกรุ่น” สามารถตอบโจทย์ได้แล้วทั้งหมด นอกจากนี้เจ้าของรถยังสามารถเลือกยางได้ตามสไตล์ที่ต้องการอีกด้วยเช่นหากต้องการการ “ควบคุมที่แม่นยำ” ก็จะมียางสไตล์สปอร์ตให้เลือกให้เลือก หากต้องการประสบการณ์ขับขี่ที่สะดวกสบายพรีเมียมก็สามารถเลือกยางที่ให้ความ “นุ่มเงียบ” ได้หรือแม้แต่อยากได้ความ “ประหยัด” ก็สามารถเลือกยางรุ่นที่ให้ความประหยัดการใช้พลังงานได้เพราะมีแรงต้นการหมุนที่ต่ำ เรียกได้ว่า เทคโนโลยีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าก็ทำให้ยาง Michelin เอง สามารถพัฒนานวัตกรรมยางรถยนต์ให้ล้ำไปได้มากยิ่งขึ้นให้สามารถนำไปใส่ได้กับทั้งรถยนต์สันดาปและรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมเตอร์ไฟฟ้าได้ไม่ว่าจะเป็นยางรุ่นไหนก็ตาม

 

Beyond the Road นวัตกรรมที่ไปไกลถึงอวกาศ

 

Michelin ไม่ได้พัฒนานวัตกรรมยางให้ไปสู่รันเวย์สนามบินเท่านั้น แต่ยังไปไกลถึงไลฟ์สไตล์ด้านอาหาร วงการแพทย์ การเดินเรือ รวมถึงการท่องอวกาศ สิ่งนี้นับเป็นไฮไลท์สำคัญที่สื่อสารได้อย่างดีว่า Michelin ไป Beyond the Road คือไปไกลกว่าท้องถนนสู่ไปสู่การเป็นบริษัทนวัตกรรมระดับโลกได้อย่างชัดเจน

เมื่อพูดถึง “อวกาศ” เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ Michelin แน่นอนเพราะ Michelin ร่วมมือกับองค์การบริหารการบินและอวกาศ (NASA) มาโดยตลอดนั้งตั้งแต่ปี 1981 ในฐานะผู้จัดหายางเพียงรายเดียวสำหรับกระสวยอวกาศ และ ร่วมเดินทางไปกับภารกิจ 135 ครั้งจนถึงปี 2011 ที่ผ่านมา การมีส่วนร่วมในโครงการด้านอวกาศนั้นช่วยยกระดับนวัตกรรม “ยาง” ของ Michelin ไปได้มากเฉพาะในอวกาศเป็นสภาพแวดล้อมที่ “สุดขั้ว” ทั้งในแง่ของพื้นผิวรวมไปถึงอุณหภูมิที่เย็นและร้อนแบบสุดขั้ว การที่ Michelin สามารถผลิตยางที่ทนสภาพแวดล้อมในอวกาศได้ก็หมายความว่าสภาพแวดล้อมบนโลกก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นอีกต่อไป

หนึ่งในโครงการสำคัญของ Michelin ที่เรียกได้ว่า “ไปได้ไกลถึงอวกาศ” ก็คือการมีส่วนร่วมของ Michelin ในโครงการ Lunar Terrain Vehicle Phase 1 Feasibility Study โครงการพัฒนายานสำรวจดวงจันทร์ที่สามารถทำงานในสภาพสุดโต่งได้บนดวงจันทร์เป็นเวลายาวนานกว่า 10 ปีให้ได้

ในโครงการนี้ Michelin เข้าร่วมทีมในฐานะผู้เชี่ยวชาญยางแบบ Airless Tires หรือยางที่ไม่ต้องสูบลม ใช้สำหรับล้อของยานสำรวจที่สามารถทนความร้อนได้สูงได้สูงกว่า 100 องศาเซลเซียส และทนความเย็นได้ถึง ติดลบ 240 องศาเซลเซียส เคลื่อนตัวได้บนดินที่ไม่มั่นคงของพื้นผิวดวงจันทร์ได้ โครงการนี้เรียกว่าเป็นอีกบทพิสูจน์ของผู้นำเทคโนโลยียางล้อที่ไปไกลถึงอวกาศและไม่ใช่ไปแค่ดวงจันทร์เท่านั้นแต่มิชลินยังมีวิสัยทัศน์พัฒนานวัตกรรมที่จะรองรับเป้าหมายการพามนุษย์ไปตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารด้วยเลยทีเดียว

 

 

นอกจากยางรถยนต์แล้วอีกสิ่งที่เราจะนึกถึงแบรนด์ Michelin ด้วยก็คือการก้าวไปสู่ไลฟ์สไตล์ด้านอาหารการกิน ผ่าน “Michelin Guide” หนังสือแนะนำร้านอาหารทั่วโลกที่ถือกำเนิดขึ้นมาไม่นานหลังแบรนด์ Michelin ก่อกำเนิดขึ้นมาได้ราว 10 ปีเท่านั้น เพื่อผลักดันให้ผู้คนใช้รถยนต์เดินทางให้มากขึ้นซึ่งหมายถึงการใช้ยางรถยนต์มากขึ้นตามไปด้วย นับเป็นนวัตกรรมด้านไลฟ์ที่สไตล์ชาญฉลาด และเทคนิคในการจัดอันดับร้านอาหารด้วยการให้ “ดาว” ยังคงอยู่ต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบันและยังพัฒนาไปสู่การสนับสนุนร้านอาหารที่เน้นเรื่องความยั่งยืนด้วยการจัดอันดับผ่าน Michelin Green Star อีกด้วย

นวัตกรรมที่น่าทึ่งเหล่านี้นับเป็นผลจากความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านวัสดุโพลิเมอร์คอมโพสิตที่สั่งสมมานาน 135 ปี ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเดินทางเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอุตสาหกรรมก่อสร้าง พลังงานสะอาด การดูแลสุขภาพ  ด้านไลฟ์สไตล์อย่างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ Michelin ก็เข้าไปร่วมพัฒนาด้วยเช่นกัน

 

Michelin กับนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน

นอกจากนวัตกรรมที่ Michelin ขยายไปสู่หลากหลายอุตสาหกรรมแล้ว ในเรื่องแนวคิดเพื่อความยั่งยืนและสนับสนุนการเดินทางที่ลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกเรื่องที่ Michelin ให้ความสำคัญด้วยเช่นกันโดยเฉพาะการทำให้ยางให้มีสมรรถนะสูงสุดและยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น ซึ่งสิ่งนี้ก็สะท้อนผ่านแนวคิดการออกแบบยางยั่งยืน หรือ Performance Made to Last ที่มีอยู่ในยางมิชลินทุกเส้น ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ให้สมรรถนะดีเยี่ยมยาวนาน ปลอดภัย มั่นใจตั้งแต่วันแรกที่ใช้จนถึงวันที่เปลี่ยนยางรอบถัดไป ส่งผลให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องเปลี่ยนยางบ่อย ประหยัดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งนวัตกรรมยางยั่งยืนประกอบด้วยเทคโนโลยีมากกว่า 27 รายการ!  ด้วยเทคโนโลยีหลักอย่าง MaxTouch เพิ่มหน้าสัมผัสยางกับพื้นถนนกระจายแรงกดสม่ำเสมอ และ U-Shape Grooves เทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพการขับขี่บนถนนเปียกที่เหนือกว่า โดยอัตราส่วนพื้นที่ร่องรีดน้ำจะเพิ่มขึ้นเมื่อหน้ายางสึก จึงช่วยระบายน้ำออกจากหน้ายางได้รวดเร็วขึ้นเป็นต้น

 

 

Michelin ยังไปไกลกว่านั้นโดยตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้ผลิตยางด้วยวัสดุยั่งยืน 100% ภายในปี 2050 หลังจากผ่านก้าวแรกไปแล้วด้วยยางรถยนต์ที่ผลิตจากวัสดุที่ยั่งยืน 45% และผ่านการอนุมัติให้วิ่งบนท้องถนนทั่วไปได้จริงไปตั้งแต่ปี 2020 ที่ผ่านมา ในเรื่องนี้ Michelin พิสูจน์ผ่านยาง MICHELIN e.Primacy ยางรุ่นแรกของ Michelin ที่พัฒนาขึ้นเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยมีข้อมูลการประเมินวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ระบุไว้ที่ยาง นับเป็นเป็นยางรุ่นแรกในตลาดที่มีการติดฉลากมาตรฐานสิ่งแวดล้อม (Environmental Product Declaration: EPD) ด้วย

และไม่เฉพาะยางรถยนต์เท่านั้นที่สามารถผลิตจากวัสดุยั่งยืนได้ Michelin ยังสามารถผลิตยางสำหรับรถแข่ง ที่ใช้วัสดุยั่งยืนที่เป็นส่วนประกอบ 63%​ ยางสำหรับรถโดยสาร ใช้วัสดุยั่งยืนที่เป็นส่วนประกอบ 58% และยางสำหรับรถจักรยานยนต์ ใช้วัสดุยั่งยืนที่เป็นส่วนประกอบ 52% ได้แล้วในเวลานี้เรียกว่าอนาคตสัดส่วนวัสดุยังยืนจะเพิ่มมากขึ้นและเป้าหมาย 100% น่าจะอยู่ไม่ไกลแล้ว

นอกจากผลิตภัณฑ์ยางและนวัตกรรมนอกถนนที่สนับสนุนเรื่องความยั่งยืนอย่าง Michelin Green Star ที่ช่วยโลกให้เดินหน้าสู่ความยั่งยืนแล้ว Michelin ยังเข้าไปมีส่วนผลักดันอุตสาหกรรมการเดินทางด้วยพลังงานไฮโดรเจน อีกหนึ่งทางเลือกของการเดินทางด้วยพลังงานสะอาดรวมไปถึงการริเริ่มโครงการอนุรักษ์ระบบนิเวศน์พร้อมกับการผลิตยางธรรมชาติที่จะช่วยระตุ้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจและคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพไปพร้อมๆกันได้ด้วย

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้  Michelin จึงเลือกใช้นโยบาย 4R เพื่อสนับสนุนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดย 4R คือแผนการบริหารจัดการในฐานะผู้ผลิตยาง เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ กระบวนการผลิต การขนส่ง ระหว่างการใช้งาน และการจัดการเมื่อยางสิ้นอายุการใช้งาน โดย 4R ที่ว่านี้จะประกอบด้วย Reduce (การลด) Reuse (การใช้ซ้ำ) Recycle (การแปรรูปกลับมาใช้ใหม่) และ Renew (การใช้วัตถุดิบหมุนเวียน) ซึ่ง 4R นั้นสอดคล้องกับเป้าหมายของ Michelin ที่จะผลิตยางจากวัสดุที่มีความยั่งยืน 100% ภายในปี 2050 นั่นเอง

ทั้งหมดที่เล่ามานี้เป็นเบื้องหลังแนวคิดที่ Michelin ใช้สื่อสารผ่านแคมเปญ On the Road and Beyond สร้างการรับรู้แบรนด์ในมุมมองผู้บริโภคจากบริษัทผู้นำในการผลิต “ยาง” เพื่อการเดินทางบนท้องถนน ไปสู่บริษัทผู้สร้างนวัตกรรมที่แข็งแกร่งในฐานะแบรนด์ที่สร้างนวัตกรรมเพื่อโลกที่ดีขึ้นในอนาคต สอดรับกับ Key Message ของแคมเปญนี้นั่นก็คือ Every day, Michelin innovates to move the world forward on the road and beyond. Michelin, Motion for life” หรือมิชลินคิดค้นนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่องด้านธุรกิจยาง และนอกเหนือไปกว่านั้น เพื่อมอบประสบการณ์สัญจรที่ดีต่อคุณและเป็นมิตรต่อโลก

 


  • 261
  •  
  •  
  •  
  •