จาก ‘น้องใหม่’ ในวงการรถยนต์ในบ้านเราเมื่อกว่า 7 ปีที่ผ่านมาที่ถูกตั้งคำถามมากมาย โดยเฉพาะประเด็น ‘จะอยู่ได้นานหรือไม่’ ในสมรภูมิการแข่งขันที่ดุเดือดและมี Big Player เป็นรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นครองมาร์เก็ตแชร์อยู่กว่า 90% ของตลาด แต่วันนี้ ‘เอ็มจี’ (MG) ได้พิสูจน์ฝีมือกลายเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จและถูกจับตามองถึงการเติบโตที่น่าสนใจ
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2556 หลังจาก ‘บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด’ ประกาศนำเอ็มจีปักธงบุกตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ก็ต้องเผชิญกับข้อสงสัยมากมาย เช่น จะอยู่ในไทยได้นานแค่ไหน, คู่แข่งของเอ็มจีคือใคร, จะรอดหรือไม่ขณะที่รถยนต์ญี่ปุ่นครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 90%, เอ็มจีวางแผนจะมีผู้จำหน่ายจำนวนเท่าใด ให้บริการหลังการขายอย่างไร และรถยนต์ที่ผลิตออกมามีคุณภาพตรงกับตามความต้องการของผู้บริโภคคนไทยหรือไม่ เป็นต้น
ทว่ากว่า 7 ปีที่ผ่านมาจากความทุ่มเททำงานอย่างหนักตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เอ็มจีก็สามารถทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่เปลี่ยนความคิดเหล่านี้ได้ และตอกย้ำให้เห็นการยืนหยัดในประเทศไทยได้อย่างมั่นคง มีผู้บริโภคชื่นชอบแบรนด์และรถยนต์ของเอ็มจีมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมไปถึงเริ่มมีกลุ่มลูกค้า loyal customer ในประเทศไทย
เปิด Key success ก้าวสู่ความสำเร็จ
แม้ตลาดรถยนต์ในบ้านเราจะมีหลากหลายแบรนด์ แต่ยังไม่มีแบรนด์ใดตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มใหญ่ได้จริง ดังนั้น การเข้ามาในตลาดของเอ็มจี จึงเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับตลาดประเทศไทย โดยยึด 3 องค์ประกอบหลักของแบรนด์ กลยุทธ์สำคัญในการนำเสนอสินค้าและบริการที่มีความหลากหลายมากขึ้นและดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า ได้แก่
เทคโนโลยี (Technology) : มาพร้อมนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และทำให้การใช้ชีวิตของคนง่ายยิ่งขึ้น, ความทันสมัย (Fashion) : มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและสามารถสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย, ความคุ้มค่า (Value) : ต้องมีความคุ้มค่าทั้งในด้านของการใช้งานและความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของ
เช่นการเปิดตัว MG3 ในปี 2558 ที่มาพร้อมกับซันรูฟ (Sunroof) ซึ่งในเวลานั้นในตลาดจะมีติดตั้งมาให้เฉพาะในรถระดับ High-end เท่านั้น ทำให้ MG3 เป็นที่จับตามองของตลาดตั้งแต่เปิดตัว ขณะเดียวกันตัวรถที่ใช้สีทูโทนแสดงถึงสไตล์ Young & Fun ที่ได้กลายเป็นแฟชั่นในตลาดรถยนต์ไทยอีกด้วย
หรือการเปิดตัว MG ZS ในปี 2560 กับการติดตั้ง i-SMART ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะที่ทำให้คนกับรถสามารถสื่อสารกันได้ ถือเป็นค่ายรถยนต์ที่บุกเบิกการนำเทคโนโลยีการเชื่อมต่อนี้มาสู่ตลาดเมืองไทย โดยมีฟังก์ชันการใช้งานที่ทันสมัยครบครัน ไม่ว่าจะเป็น การสั่งการด้วยเสียงที่สามารถสั่งการให้ทั้ง Software และ Hardware ในรถยนต์ทำงาน, การสั่งสตาร์ทรถและเปิดปิดแอร์จากระยะไกล, แอปพลิเคชันที่สามารถตั้งค่าและตรวจสอบสถานะรถยนต์ การนำทางแบบ Real-time และ Online Music เป็นต้น
เอ็มจีตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ด้วยการอัพเกรดระบบ i-SMART ได้ง่ายยิ่งขึ้น ผ่านระบบออนไลน์ หรือ FOTA เป็นครั้งแรกของสมาร์ทคาร์ในเมืองไทย ทำให้ลูกค้าสามารถอัพเกรดฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านระบบออนไลน์โดยไม่ต้องนำรถเข้าศูนย์ เพิ่มความสะดวกสบายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่
เรียกได้ว่า นับตั้งแต่เปิดตัวในไทยเป็นต้นมา รถยนต์ของเอ็มจีได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเน้นการออกแบบภายนอกที่มีไดนามิคและแฟชั่น, ระบบส่งกำลังและการควบคุมที่เต็มประสิทธิภาพ, ระบบความปลอดภัยทั้งแบบ Active และ Passive ที่ครบครัน อีกทั้งยังมีรถยนต์ให้เลือกหลากหลายรุ่น มากด้วยเทคโนโลยี โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ที่ทันสมัย และให้ความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของ จึงทำให้แบรนด์เอ็มจีได้รับความชื่นชอบจากลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ
นำเสนอนวัตกรรมยานยนต์ไม่หยุด
อีกประเด็นที่พาเอ็มจีก้าวสู่ความสำเร็จ ก็คือ การนำเสนอนวัตกรรมยานยนต์แบบต่อเนื่อง เพื่อตอบเทรนด์การพัฒนาของโลกและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคชาวไทย อย่างเช่นในยุคนี้ที่ยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทางเอ็มจีเองได้มีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกในปี 2562 ได้แก่ MG ZS EV ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ต่อด้วยรถยนต์พลังงานทางเลือกอย่าง MG HS PHEV ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ถือเป็นรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบที่ 4 ต่อจากเครื่องยนต์เบนซิน เครื่องยนต์ดีเซล และรถยนต์ไฟฟ้า โดยเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2563 รถยนต์คันที่ 100,000 ได้ผลิตออกจากโรงงานเอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี ที่ชลบุรี ซึ่งก็คือ MG HS PHEV
เอ็มจีนำเสนอนวัตกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% อีกหนึ่งรุ่นในชื่อ MG EP รถ Station Wagon ที่ตอบโจทย์ด้วยคุณสมบัติมาตรฐานของรถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้ ในปัจจุบันทางเอ็มจีได้ลงทุนในการสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าแบบเร็วภายใต้ชื่อ ‘MG SUPER CHARGE’ ซึ่งในช่วงปลายปี 2564 จะมีกว่า 600 สถานี เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของเอ็มจี และกระตุ้นการเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างครอบคลุมให้เกิดสังคมยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ในประเทศไทยที่สมบูรณ์แบบมีประสิทธิภาพได้รวดเร็วที่สุด
เครือข่ายผู้จำหน่าย และบริการเหนือระดับ
การสร้างเครือข่ายผู้จำหน่ายของเอ็มจีได้ขยายและมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ตลอดจนการพัฒนาบริการแบบเหนือระดับ เป็นอีกกลยุทธ์สำคัญในการทำให้เอ็มจีประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยในปี 2564 จะมีการขยายเครือข่ายการขายและบริการเป็น 170 แห่ง จากปี 2563 มีอยู่ 150 แห่งทั่วประเทศ
ขณะที่ด้านบริการ เอ็มจีมีบริการหลังการขาย PASSION SERVICE ด้วยการบริการที่เหนือกว่ามาตรฐาน มีเอกลักษณ์ของเอ็มจี และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งบริการเด็ดที่น่าสนใจของ PASSION SERVICE ได้แก่ ‘เอ็มจี โมบาย เซอร์วิส’ บริการตรวจเช็คและบำรุงรักษารถยนต์ตามระยะนอกสถานที่ ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ย้ำภาพผู้นำตลาด SUV และตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BEV
สำหรับปี 2563 เอ็มจีมียอดขายรวม 28,316 คัน เติบโต 7% จากปี 2562 ที่มียอดขาย 26,516 คัน แบ่งเป็นยอดขาย MG ZS จำนวน 11,013 คัน ตามมาด้วย MG HS (รวม MG HS PHEV) จำนวน 6,008 คัน MG Extender 5,387 คัน MG3 จำนวน 4,856 คัน MG ZS EV และ MG EP จำนวน 826 คัน และรุ่นอื่นๆ อีก 226 คัน
ทั้งนี้ เอ็มจี ยังครองแชมป์ยอดขายรถยนต์ในกลุ่มรถ SUV ด้วยยอดการจำหน่ายรวม 17,819 คัน หรือประมาณเกือบหนึ่งในสี่ของตลาดรถยนต์กลุ่มดังกล่าว โดยมียอดจำหน่ายอันดับหนึ่งในกลุ่ม C-SUV ส่วนกลุ่ม B-SUV มียอดจำหน่ายสูงเป็นลำดับที่สองของกลุ่ม และเอ็มจียังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มีมาร์เก็ตแชร์ถึง 88% ด้วยยอดขาย 826 คัน จากยอดขายรวมทั้งหมด 939 คัน
ปี 64 กับเป้ายอดขายเติบโตกว่า 40%
มาถึงเป้าหมายในปี 2564 ทางเอ็มจีคาดว่า ตลาดรถยนต์ในภาพรวมจะอยู่ที่ 840,000 คัน ซึ่งเอ็มจีตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 42,000 คัน หรือเติบโตขึ้นกว่า 40% ของยอดขายในปี 2563
ในปีนี้เอ็มจีมีแผนที่จะแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาด เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมให้มีความลงตัวมากขึ้น ซึ่งจะมีความโดดเด่นใน 3 แกนหลัก นั่นคือ เทคโนโลยี (Technology) ความทันสมัย (Fashion) และความคุ้มค่า (Value) เพื่อตอบสนองความต้องการด้านรถยนต์และเพิ่มประสบการณ์การขับขี่ของผู้บริโภคคนไทย
ไม่เพียงเท่านั้น เพราะภารกิจของ ‘เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี’ นอกจากการลงหลักปักฐานในประเทศไทยแล้ว ยังต้องขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคอาเซียน และออกสู่ตลาดโลก โดย ณ ตอนนี้ ได้มีการส่งออกรถยนต์ไปยังตลาดอินโดนีเซียและเวียดนามแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการเตรียมตัวส่งออกไปสู่ตลาดอื่นๆ ในอาเซียน ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าว เป็นเส้นทางที่ท้าทายและน่าจับตามองไม่น้อย