แม้จะไม่ได้ใช้ Social Listening Tools แต่ก็ชัดเจนว่าบริบทการพูดถึง เชื้อเพลิง ในตอนนี้โดดเด่นอยู่ 2 ประเด็น คือ น้ำมันแพงเป็นประวัติการณ์ กับ รถยนต์ EV ช้อยส์ที่ใครก็อยากเลือก เพราะนอกจากราคาแตกต่างหลายเท่าตัว ก็ยังมีประเด็นนวัตกรรม ความคุ้มค่า และอนาคต…ที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่เคยกังวลเมื่อ EV Ecosystem กลายเป็นความหวังที่สามารถจับต้องได้จริง
แน่นอนว่าตอนนี้ตลาดรถยนต์ EV เต็มไปด้วยสีสันและตัวเลือกมากมาย จากการที่หลากหลายแบรนด์พากันกระโจนเข้าสู่สมรภูมิดังกล่าวและฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ดังนั้น นอกจากราคาที่ต้องแข่งขันได้ แบรนด์ยังต้องให้ความสำคัญกับอีกหลาย ๆ ประเด็น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค โดยไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพยานยนต์ นวัตกรรม หรือบริการหลังการขาย ที่เป็นเหตุผลสนับสนุนการตัดสินใจซื้อในอดีต แต่ยังต้องมีประเด็นสำคัญอย่างสถานีชาร์จที่ครอบคลุม แบตเตอรี่ หรือแม้แต่ค่าบำรุงรักษา ว่าการตัดสินสินใจเลือกทางใหม่นั้น…จะดีแค่ไหน ?
วิเคราะห์สมรภูมิรถ EV กับกลยุทธ์ตอบคำถามด้วยเกมบุกของ MG
หนึ่งในผู้ที่สามารถปลุกความน่าสนใจให้การทำตลาดรถยนต์ EV ก็คือ แบรนด์ MG จากคอนเซปต์ที่แบรนด์ไม่ได้เน้นการให้ข้อมูลแบบยัดเยียดให้ในคราวเดียว แต่เป็นการปูพื้นฐานและทำอย่างต่อเนื่องในการสร้าง EV Ecosystems ของแบรนด์ให้เข้มแข็ง เพื่อย้อนกลับมาตอบโจทย์ที่หลายคนยังกังขาว่า จะดีแค่ไหน? ถ้าประเทศไทยมีทุกอย่างพร้อมสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
ในขณะที่หลายคนยังตั้งคำถาม แต่ MG เร่งดำเนินการไปแล้วเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้า ตั้งแต่ประเด็นสถานีชาร์จเพื่อลดความกังวลเกี่ยวกับระยะทางการขับขี่ แบตเตอรี่ กับราคาต้นทุนค่าแบตรถยนต์ EV และศูนย์บริการที่ทยอยเพิ่มให้ครอบคลุมขึ้นเรื่อย ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ MG ไม่ต้องออกแรงโปรโมทให้หนักกว่าแบรนด์ EV อื่นในกลุ่มเดียวกัน เพราะผู้บริโภคได้เห็นและรับรู้ความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
ขจัด Pain Point สำคัญด้วยเป้าหมาย สถานีชาร์จ 500 แห่ง
อย่างที่บอกไปแล้วว่าเกมบุกของ MG คือการเร่งดำเนินการทุกประเด็นเพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค และทำให้พวกเขาเห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมสำหรับรถยนต์ EV ซึ่งแม้ว่าเราจะเห็นผู้ให้บริการเชื้อเพลิงเข้ามาติดตั้งสถานีชาร์จเพื่อขยายจุดให้บริการและรองรับการใช้งาน แต่ในฐานะแบรนด์ผู้ผลิต MG ไม่ได้รอ แต่เน้นเกมรุกเต็มกำลังด้วยการติดตั้ง MG Super charge ซึ่งแล้วเสร็จไปแล้ว 120 แห่ง ทั้งยังร่วมกับพาร์ทเนอร์ในการขยายสถานีชาร์จทั้งแบบ DC Charge และ AC Charge กับเป้าหมายสถานีชาร์จ 500 แห่งให้เร็วที่สุด ทั้งหมดนี้ ยังไม่รวมกับแผนเปิดโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในประเทศไทย ให้ทันเป้าหมายปี 2023 อีกด้วย
จากที่กล่าวไปข้างต้น สะท้อนว่าแบรนด์ใส่ใจกับเสียง ความกังวล และปัญหาที่ลูกค้าต้องการหลีกเลี่ยงมากที่สุด ด้วยการทำให้สถานีชาร์จครอบคลุมกับความต้องการให้มากและมากที่สุด เพื่อทำให้การเดินทางทุกเป้าหมายของลูกค้าสามารถไปได้ไกลเท่าที่พวกเขาต้องการ ไม่แตกต่างกับการใช้งานรถยนต์ทั่วไป
ภารกิจ EV Ecosystem หัวใจสำคัญกับการปั้นแบรนด์
ประเด็นการแข่งขัน แน่นอนว่า MG ยังให้ควมสำคัญในการพัฒนารถยนต์ EV หลากหลายรุ่นสู่ตลาด เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการลูกค้าอย่างครอบคลุม แต่ประเด็นหลักอย่างการสร้าง EV Ecosystem ให้แข็งแกร่ง ก็เป็นกลยุทธ์ที่ MG ปักหมุด โดยแบ่งออกเป็น 4 แกนหลัก ได้แก่
– ความหลากหลาย ผ่านการพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อสอดรับกับรูปแบบการใช้งาน ความต้องการ และไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละกลุ่ม
– แบตเตอรี่ต้องเป็น โอกาส ไม่ใช่ปัญหา ประเด็นนี้ MG ได้ลงทุนกว่า 2,500 ล้านบาท เพื่อพัฒนาและจัดการแบตเตอรี่รถยนต์ EV ผ่านกระบวนการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ EV ทั้งยังศึกษาและวิจัยวิธีการจัดการแบตเตอรี่รถยนต์ EV ที่ไม่ได้ใช้งานด้วย
– เครือข่ายสถานีชาร์จ เป็นภารกิจเร่งด่วนที่ MG พยายามพัฒนาให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อเสริมความมั่นใจในการใช้รถยนต์ EV พร้อมกับรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น และปลดล็อกความกังวลเรื่องระยะทางใช้งานต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ด้วยจำนวนสถานีชาร์จนอกบ้านที่มีให้บริการตลอดเส้นทาง
– ความรู้พื้นฐานและความเข้าใจ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งภารกิจของแบรนด์ กับสถานการณ์ในตลาดใหม่ซึ่งรถยนต์ EV ก็เป็นเช่นนั้น ทำให้ MG ตัดสินใจสร้างความรู้พื้นฐานและความเข้าใจเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไปยังคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นทั้งการสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภค แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มจำนวนบุคลากรที่มีความชำนาญด้านรถยนต์ EV ให้เข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคต
และจากทั้งหมดที่กล่าวมา ก็ถือเป็นเพียงย่างก้าวสำคัญที่ MG เลือกดำเนินการอย่างเร่งด่วนในฐานะหนึ่งฟันเฟืองของ EV Ecosystem ในประเทศไทย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้เกิดขึ้นรวดเร็วกว่าที่คาด พร้อม ๆ กับการสนับสนุนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่กลายเป็น Mega Trends ของคนทั่วโลก จากจุดเด่นรถยนต์ EV ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานต่ำ และค่าบำรุงรักษาที่คุ้มค่ากว่ารถยนต์สันดาปภายในอีกด้วย เพื่อทำให้ทั้งหมดนี้สามารถย้อนกลับไปตอบคำถามที่ว่า… จะดีแค่ไหน ? นั่นเอง