สงครามเดลิเวอรี่ของร้านฟาส์ตฟู้ดดูจะร้อนแรงขึ้นทุกทีในขณะที่บริการ ride-sharing ก็พร้อมที่จะเลือกข้างแล้วเช่นกัน
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาMcDonald’s และ Taco Bellทั้งสองแบรนด์ประกาศข่าวใหม่สำหรับลูกค้าที่ไม่ชอบการออกไปซื้ออาหารด้วยตัวเอง
โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา McDonald’s ประกาศว่าปัจจุบันบริการเดลิเวอรี่สามารถให้บริการไปแล้วมากกว่า 7,800 ร้านค้าใน47ประเทศใน6 ทวีปในขณะที่เริ่มต้นให้บริการเดลิเวอรี่ภายในสหรัฐอเมริกาผ่านพาร์ทเนอร์อย่าง UberEats เมื่อต้นมกราคมที่ผ่านมาก็เป็นไปได้ดีโดยสามารถให้บริการโลเคชั่นเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึง25%ด้าน Steve Easterbrook ซีอีโอของMcDonald’s ระบุว่าเพราะว่าเดี๋ยวนี้ผู้คนคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตด้วยการกดปุ่มมากขึ้น
ขณะที่ Taco Bell แม้ว่าเพิ่งจะเข้ามายังอาณาจักรของบริการการเดลิเวอรี่พร้อมกับเช็คการทำงานของ third-party แล้วพบว่าไม่อาจเชื่อได้โดย Brian Niccol ซีอีโอ Taco Bell ระบุว่าส่วนใหญ่จะทำงานไม่เร็วพอ
และเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาทางTaco Bellก็ได้ลอนช์การทดสอบ “Taco Mode” ฟีเจอร์ที่อนุญาตให้ผู้โดยสารของ Lyft กดปุ่มเพื่อที่จะให้คนขับขับพาเขาไปยังร้าน drive-thru ของ Taco Bell ได้ในเวลาระหว่าง 9.00-02.00 น. โดยทำการทดสอบ “Taco Mode” ที่ Orange County ในแคลิฟอร์เนีย พร้อมกับที่มีแผนขยายการให้บริการในปี 2018
เปรียบเทียบ 2 โปรแกรมนี้ระหว่าง McDonald’s และ Taco Bell อย่างง่ายๆ เลยคือ เรื่องของสาขาที่มีผลต่อการขนส่งอาหาร
McDonald’s สามารถส่งสินค้าได้เร็วและไวก่อนที่มันจะเย็นเสียด้วยซ้ำ โดยมีสาขาที่ให้บริการอย่างต่ำๆ ก็ประมาณ 14,000 โลเคชั่น และสามารถส่งถึงมือลูกค้าได้อย่างน้อยในเวลา 30 นาทีหรือเร็วกว่านั้น นอกจากนี้ UberEats เน้นโฟกัสไปในเรื่องของความสะดวกสบาย ใกล้เคียงกับบริการเดลิเวอรี่ของพิซซ่า และมากกว่าการใช้บริการแบบไดรฟ์ทรู
ในขณะที่ Taco Bell มีจำนวนร้าน้อยกว่าครึ่ง ถ้าคิดคร่าวๆ ก็ประมาณ 6,500 ร้าน ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเชื่อได้ยากว่าสินค้าจะส่งถึงมือได้ตรงเวลา อย่างน้อยลูกค้าที่ได้ตามออร์เดอร์แน่ๆ ก็คืออยู่ในรถ
และเพื่อเป็นการโปรโมท Taco Mode ให้เพิ่มมากขึ้น Taco Bell ได้เพิ่มความพิเศษสำหรับการสั่งในรถ เช่น ฟรี Doritos Locos tacos และยังทำการโปรโมทผ่านสิ่งที่บริษัทเรียกว่า “taco-themed car” โดยมีความตั้งใจที่จะขายประสบการณ์มากกว่า เป็นแบรนด์ที่มีความเป็นไลฟ์สไตล์ ซึ่งนับว่าน่าสนใจไม่ใช่น้อย
ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองฟู้ดเชนส์นี้ก็กระตือรือร้นที่จะใช้กลยุทธ์เดลิเวอรี่ เพื่อที่จะยึดครองลูกค้าในกลุ่มคนนอนดึกให้ได้ แต่สุดท้ายใครจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำกันแน่ต้องติดตามต่อไป