ช่วงหลัง ๆ ดูจะฮิตเหลือเกินสำหรับกลยุทธ์ Collaboration หรือการสร้างความร่วมมือกันทางธุรกิจทั้งระหว่างแบรนด์กับตัวบุคคล เช่น ดีไซเนอร์ ฯลฯ และแบรนด์กับแบรนด์ ที่มีทั้งอยู่ในแวดวงเดียวกัน หรือข้ามอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับตลาดควบคู่ไปกับขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มอื่น ๆ ซึ่งเป้าหมายก็คือ การเติบโตของแบรนด์และยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
สำหรับในบ้านเราเคสหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากอยู่ตอนนี้ นั่นคือ การจับมือกันระหว่าง ‘สาหร่ายมาชิตะ’ กับ ‘บาร์บีคิวพลาซ่า’ เปิดตัวรสชาติใหม่ รสเบคอนย่างซอสบาร์บีคิวพลาซ่า ที่เริ่มโหมโรงด้วยการปล่อยโฆษณา มีเนื้อหาเหมือนเป็นการเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ ที่หลายคนคาดว่า จะเป็นออปป้า จากศิลปินดัง KPOP คนใดคนหนึ่งเหมือนที่มาชิตะเคยใช้ผ่าน ๆ มา
แต่สุดท้ายพรีเซ็นเตอร์ที่ว่า กลับกลายเป็น พี่กอน-บาร์บีกอน พร้อมกับเปิดตัวรสชาติใหม่ที่เกิดจากการความร่วมมือของทั้งสองแบรนด์ โดยโปรดักท์ใหม่ตัวนี้ จะวางขายเพียง 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ก.ค.- ก.ย. นี้ และวางขายจำหน่ายเฉพาะร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทุกสาขาเท่านั้น
การ Collaboration ครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร และทั้งสองแบรนด์จะได้อะไร
เมื่อพูดถึงตลาดสาหร่ายในไทยที่ปัจจุบันมีมูลค่าราว 2,700 ล้านบาท อย่างที่รู้กันว่า ‘เถ้าแก่น้อย’ เป็นผู้นำของตลาดที่แข็งแกร่ง และครองมาร์เก็ตแชร์มากถึง 60% ของตลาด ส่วนอันดับ 2 ได้แก่ มาชิตะ เป็นการตามมาห่าง ๆ มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 17% ตามด้วยซีลีโกะ 8% อีก 15% เป็นแบรนด์อื่น ๆ รวมกัน
การผนึกกำลังที่ 1+1 ต้องมากกว่า 2
ที่ผ่านมาการทำการตลาดของมาชิตะ นอกจากพัฒนาโปรดักท์ใหม่ออกสู่ตลาดแล้ว ก็ใช้พลังของ KPOP ด้วยการดึงศิลปินดังจากเกาหลีมาทำหน้าที่พรีเซ็นเตอร์มาโดยตลอด เพราะหวังผลใช้เป็นแม่เหล็กดึงเหล่าแฟนคลับมาเป็นลูกค้า ที่สำคัญต้องการตอกย้ำการเป็นแบรนด์สาหร่ายเกาหลีควบคู่ไปด้วย
เริ่มตั้งแต่ คยูฮยอน วง Super Junior ตามด้วย 5 หนุ่มวง NCT ที่ 1 ในสมาชิกเป็นคนไทย คือ เตนท์-ชิตพล ซึ่งการตลาดรูปแบบนี้ ไม่ต่างผู้นำตลาดอย่าง เถ้าแก่น้อย ที่ใช้พลัง KPOP เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นวง BEAST , 2PM , GOT 7 กระทั่ง นิชคุณ หรเวชกุล สมาชิกวง 2PM
ดังนั้นการ Collaboration ของมาชิตะกับบาร์บีคิวพลาซ่า และดึงพี่กอน-บาร์บีกอน มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ จึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างสีสันและพยายามฉีกการทำตลาดให้ต่างจากเถ้าแก่น้อย
มากไปกว่านั้น คือ ต้องการขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มใหม่ ๆ นอกเหนือจากกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นฐานลูกค้ากลุ่มเดิมที่มี ได้แก่ คนรุ่นใหม่ และครอบครัว ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ทางบาร์บีคิวพลาซ่าแข็งแรง
โดยนอกจากจะพัฒนาโปรดักท์ร่วมกันแล้ว ยังมีการทำ Co-Marketing โดยในส่วนของสินค้านั้นได้นำภาพบาร์บีกอนมาไว้บนซอง และในทุกสาขาของบาร์บีคิวพลาซ่า เราจะเห็นหุ่นพี่กอนที่อยู่หน้าร้านถือโปรดักท์ใหม่ตัวนี้อยู่ในมือ ทำหน้าที่เป็นสื่อโปรโมทให้กับสินค้าไปในตัว
นอกจากนี้ ทางบาร์บีคิวพลาซ่า ยังจัดโปรโมชั่นชุด ‘เครื่องเคียงเกาหลี’ ที่จะนำสาหร่ายมาชิตะมาเป็นหนึ่งในพระเอก เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค.-30 ก.ย.นี้ เฉพาะร้านบาร์บีคิวพลาซ่าสาขากระทะทองเท่านั้น พร้อมให้สิทธิ์แลกซื้อชุดเครื่องเคียงเกาหลี 1 ชุด ในราคา 29 บาท จากปกติ 79 บาท เมื่อนำซองเปล่ามาชิตะ รสเบคอนย่างซอสบาร์บีคิวพลาซ่า ขนาด 30 กรัม 2 ซองมารับสิทธิ์
อีกก้าวขยับ ‘บาร์บีกอน’ เทียบชั้น คิตตี้-ซานริโอ้
ขณะที่บาร์บีคิว พลาซ่า เอง ครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวของการปั้น ‘บาร์บีกอน’ ให้เป็นคาแรคเตอร์ แบรนด์ ที่มีมูลค่าและเป็นมากกว่าแมสคอตของบาร์บีคิว พลาซ่า ตามเป้าหมายที่ทาง ‘บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์’ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่า บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า ต้องการให้บาร์บีกอนเทียบชั้นคาแรคเตอร์ดังของโลกอย่าง คิตตี้ หรือซานริโอ้
เพราะความร่วมมือกับมาชิตะ ไม่ใช่เป็นครั้งแรกของการหยิบกลยุทธ์ Collaboration มาใช้ โดยก่อนหน้านี้ ได้ร่วมมือกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง แอนิเทค ทำโปรเจค ‘Anitech X Bar B Gon’ ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นพิเศษลายบาร์บีกอนออกมา มี 4 สินค้าด้วยกัน ได้แก่ กาต้มน้ำ เครื่องปิ้งขนมปัง เครื่องปั่นสมูทตี้ และเตาอบ ซึ่งตอนนั้นได้รับเสียงฮือฮาและสร้างเซอร์ไพร์สให้กับตลาดได้ดีทีเดียว
ส่วนเป้าหมายทางธุรกิจ รวมถึงกลยุทธ์อื่น ๆ ที่จะทำให้การจับมือกันระหว่างมาชิตะและบาร์บีคิว พลาซ่า ในครั้งนี้ ‘เวิร์ค’และ ‘ปัง’ จะมีการแถลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 ส.ค.นี้ แต่ที่แน่ ๆ สิ่งที่พาร์ทเนอร์ทั้งสองหวังผลนั้น 1+1 ต้องมากกว่า 2 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่ทั้งสองแบรนด์เดิมพันไว้