“บ้าน” คือหน่วยเล็กๆ ของสังคม แต่เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้สังคมเราน่าอยู่ เมืองน่าอยู่ และประเทศน่าอยู่ ดังนั้น การทำให้บ้าน #น่าอยู่ จึงถูกนำมาใช้เป็นแนวคิดสำคัญของการสร้างบ้านในแบบของ LPN
ตลอดระยะเวลา 34 ปีที่ผ่านมา ผู้คนให้การตอบรับ LPN ในภาพของความเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีการบริหารชุมชนที่เข้มแข็งเป็นมืออาชีพ โครงการที่พักที่มีมาตรฐาน ตอบโจทย์ลูกค้าทั้งที่ซื้อเพื่ออยู่เองหรือเพื่อนการลงทุน ด้วยจุดแข็งสำคัญ ได้แก่ ราคาที่เข้าถึงง่าย มีตลาดมือสองรองรับซื้อง่ายขายคล่อง ขายต่อยังมีกำไร ในขณะที่เรื่องของการดีไซน์ที่มีความใส่ใจ พิถีพิถันทั้งความสวยงามน่าใช้ และความคุ้มค่าของทุกฟังก์ชั่นการใช้งานในมิติต่างๆ เพราะพัฒนาขึ้นจากอินไซต์การใช้ชีวิตของลูกค้าจริงที่เป็นหลัก ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกเจนเนอเรชั่น เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่สีเขียว พื้นที่ส่วนกลาง ทุกองศาของการใช้ชีวิตเพื่อสร้างให้เกิดความรู้สึกของคำว่า “น่าอยู่” ในแบบที่ LPN ตั้งใจส่งมอบให้กับลูกค้าทุกๆ คน
ทั้งนี้ สิ่งที่ LPN ให้ความสำคัญบนในแนวคิดรื่อง บ้าน “น่าอยู่” ประกอบด้วย ‘5C’ หลักคิด ดังนี้
#1C – Comfort = การอยู่อาศัยที่สบายกาย สบายใจ
#2C – Convenience = ความสะดวกในการเดินทางเพื่อการอยู่อาศัย
#3C – Care for Well-being = สุขภาวะที่ดีทั้งกาย และใจ
#4 – Care the planet = ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อโลกที่น่าอยู่มากขึ้น
#5 – Community & Social = ให้ความสำคัญกับสังคมที่น่าอยู่
“สำหรับผมในฐานะคนทำงานที่อยู่กับ LPN มาตั้งแต่ยุคบุกเบิก จากพนักงานมาสู่การเป็นผู้บริหาร และวันนี้เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 35 สิ่งหนึ่งที่ LPN จะไม่เปลี่ยนแปลง คือ การยึดมั่นในแก่นแท้ของ LPN นั่นคือ ความเชื่อมั่นว่าการทำให้คนคนหนึ่งได้มีโอกาสอยู่ ‘บ้าน’ ที่มีคุณภาพ คือสิ่งสำคัญที่เป็นส่วนหนึ่งของความสุข และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในชีวิตของเขา ขณะเดียวกัน สิ่งนั้นก็เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ของคนทำงาน LPN ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่มาถึงทุกวันนี้ และพร้อมที่จะพัฒนาพื้นที่ ‘น่าอยู่’ ยิ่งขึ้นในแบบฉบับของ LPN ต่อไป” คุณโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) กล่าวในการแถลงข่าวครั้งล่าสุด เพื่อตอกย้ำถึงแนวคิดสำคัญของการสร้างบ้าน #น่าอยู่ ในแบบของ LPN
อย่างไรก็ตาม แนวคิดของบ้าน “น่าอยู่” แม้ว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีตลอดมา แต่กลุ่มลูกค้าก็เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทว่า แบรนด์เองก็ต้องการเช้าถึงกลุ่มลูกค้าเจเนอเรชั่นใหม่ๆ ด้วยเพื่อต่อยอดให้กับธุรกิจเติบโตไปข้างหน้าได้ ดังนั้น โจทย์สำคัญของ LPN ต่อไปคือการคว้าใจกลุ่มลูกค้าเจนเนอเรชั่นใหม่ๆ ทว่า ภาพลักษณ์ของ LPN ในปัจจุบันแม้จะเป็นแบรนด์ที่ผู้คนยอมรับในเรื่องคุณภาพและความน่าเชื่อถือ แต่ด้วยความที่อยู่ในตลาดมานานทำให้เกิดภาพของความเก่าแก่ เป็นแบรนด์รุ่นคุณพ่อคุณแม่ ที่คนมองว่ายังไม่ทันสมัยพอ
นอกจากนี้ โปรดักส์ที่แข็งแกร่งของแบรนด์อย่างคอนโด ทำให้ภาพของโปรดักส์อื่นๆ ถูกกลบและค่อนข้างลางเลือนในสายตาผู้บริโภค ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว LPN มีโปรดักส์ที่มีคุณภาพมากมาย ทั้งทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวซึ่งทำตลาดมานาน แต่ยังไม่เป็นที่จดจำของผู้บริโภคมากพอ ดังนั้น ทั้งหมดนี้จึงเป็นโจทย์ที่ทำให้แบรนด์ต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
ดังนั้น ในช่วงปี 2565 เป็นต้นมาก LPN ดำเนินการปรับปรุงแบรนด์ใหม่ โดยเริ่มจากปรับโปรดักส์ให้ทันสมัยภายใต้คอนเซ็ปต์ว่า ‘Simple & Stylish’ พร้อมปรับโทนสีให้ดูโมเดิร์นขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของการใช้ชื่อ “ลุมพินี” ก็เปลี่ยนมาเป็น LPN เพื่อให้ดูสากลทันสมัยมากขึ้น รวมถึงแบรนด์ที่เติมท้ายต่างๆ ก็ปรับใหม่ อาทิ Park 168, Place 168, Earn Condo, Venue 24, Haus 24 เป็นต้น ซึ่งในปี 2566 ก็เช่นกันจะทำการปรับลุกส์แบรนด์ใหม่ ภายใต้แคมเปญล่าสุด #สารภาพว่าติดบ้าน
“สารภาพว่าติดบ้าน” เป็น Corporate Campaign ล่าสุดที่ LPN ตั้งใจที่จะสื่อสารถึง ถึงหัวใจสำคัญของแบรนด์ในเรื่องความ ‘น่าอยู่’ สะท้อนผ่านหนังโฆษณา 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ เจ้านายที่รัก, เพื่อนที่รัก และ แฟนที่รัก ผ่านไลฟ์สไตล์ของตัวละคร ประกอบกับบทเพลง ‘Sunday’ ก็ร้องโดย “มอร์-วสุพล เกรียงประภากิจ” ที่บทบาทครั้งนี้ ทำมากกว่าแค่นักร้อง แต่ยังมาร่วมกำกับหนังโฆษณาทั้ง 3 เรื่องให้ด้วย โดยจับมือสร้างสรรค์ร่วมกับ Youngster ทีมครีเอทีฟเอเจนซี่ไฟแรงแห่งยุคนี้
ความน่าสนใจของโฆษณาชุดนี้ คือการนำเสนออย่างชาญฉลาด โดยสามารถทำหน้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของแบรนด์ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการนำชู Branding สำคัญเรื่องความ “น่าอยู่” ผ่านแนวคิด “ติดธุระที่บ้าน” เพราะบ้านน่าอยู่เสียจนไม่อยากออกไปไหน จนเกิดเป็นวลีที่ติดปากคนไทยคือ #ติดธุระที่บ้าน ที่สามารถพลิกแพลงตีความได้ ไม่ใช่แค่คำว่า คนที่บ้านหรือคนในครอบครัว แต่ยังเป็นคำว่า “บ้าน” ที่หมายถึงสถานที่ซึ่งถูกเนรมิตให้ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังเป็นหนัง 3 เรื่อง ผ่าน 3 เรื่องราวของคน 3 เจนเนอเรชั่น ได้แก่ วัยรุ่น วัยทำงาน และวัยสร้างครอบครัว ตอบโจทย์แบรนด์ในเรื่องของการสร้างบ้านให้กับคนทุกเจนฯ มากไปกว่านั้น ยังครอบคลุมถึงการสื่อว่า LPN มีทั้ง คอนโดฯ ทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยวอีกด้วย เรียกว่า ครบถ้วนในทุกๆ โจทย์ที่แบรนด์ต้องการเลย
มากไปกว่าความครีเอทของตัวหนัง แต่ภาพรวมของหนังก็ทำให้คนที่ไม่ได้สนใจซื้อบ้านเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวของหนังได้ ด้วยการนำเสนอที่สนุกน่ารักอบอุ่นหัวใจ เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน แล้วยังแอบฟินแบบจิกหมอนก็มี ใครดูก็รู้สึกอินตามได้ไม่ยาก หรือเผลอๆ บางทีอาจจะรู้สึกเปลี่ยนใจอยากจะซื้อบ้านของ LPN ขึ้นมาเลยก็ได้ ใครที่ยังไม่ได้ดูแนะนำให้ดูเลย เพราะมันน่ารักดีต่อใจจริงๆ
ทั้งหมดนี้มองได้ว่า LPN กำลังสร้างบ้านบนความเป็นจริงของชีวิต อยู่กับพื้นฐานความคิดของการใช้ชีวิตจริงของผู้บริโภคที่สัมผัสได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่มากกว่านั้นคือการถ่ายทอดความอบอุ่นและความสุขที่เป็นนามธรรม แต่เรากลับสัมผัสมันได้จริงๆ ผ่านทั้งการออกแบบบ้านรวมไปถึงตัวภาพยนตร์โฆษณาที่ถ่ายทอดออมาได้อย่างชัดเจนและลึกซึ่ง ดังนั้น สำหรับแคมเปญ “สารภาพว่าติดบ้าน” เป็นอีกหนึ่งแคมเปญการตลาดของแวดวงอสังหาฯ ที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว และเชื่อว่าแคมเปญนี้จะทัชจิตทัชใจคนที่กำลังหาบ้านที่สามารถสร้างความสุข สร้างให้เรารู้สึก #ติดบ้าน ได้อย่างแท้จริง.