เปิดให้บริการขนส่งสินค้าแบบ On-demand ราว 5 ปีมาแล้วสำหรับ LALAMOVE (ลาล่ามูฟ) แอปพลิเคชั่นสัญชาติฮ่องกง ซึ่งปัจจุบันกำลังเติบโตและมีโอกาสเป็นผู้นำในบริการจัดส่งสินค้าในช่วงสุดท้าย (Last-mile delivery) รวมถึงการจัดส่งแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) ธุรกิจกับบริโภค (B2C) และผู้บริโภคกับผู้บริโภค (C2C)
ตลอดระยะ 5 ปีในการดำเนินธุรกิจ LALAMOVE ได้รับทุนรวมแล้วกว่า 160 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรวมถึงการระดมทุนครั้งใหญ่ขั้น Series C จำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ภายใต้เป้าหมายขยายบริการให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นด้วยการเปิดให้บริการอีก 108 เมืองทั่วเอเชีย จากเดิมที่เปิดให้บริการแล้วใน 126 เมืองในประเทศจีนและอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีผู้ดาวน์โหลดแอปกว่า 25 ล้านคน
สำหรับการขยายตัวของทีมงาน ปัจจุบัน LALAMOVE มีพนักงานรวม 2,000 คน และมีพนักงานขับรถถึง 2.2 ล้านคน โดยในประเทศไทยมีพนักงานขับรถประมาณ 50,000 คน ซึ่งนอกจากบริการจัดส่งสินค้า LALAMOVE ยังเตรียมรถมอเตอร์ไซค์, รถ 5 ประตู และรถกระบะ เพื่อให้บริการจัดส่งอาหารซึ่งได้รับคววามนิยมจากผู้บริโภคในปัจจุบัน ส่วนจำนวนผู้ใช้งาน LALAMOVE ในไทยมีประมาณ 345,000 คน โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่ม SME ที่นิยมใช้บริการจัดส่งสินค้าแบบ B2B และ B2C
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 ได้มีการประกาศความร่วมมือกับ BURGER KING รวมถึงแบรนด์อื่นๆ ซึ่งมีการขยายความร่วมมือทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค
นอกจากนี้ LALAMOVE ยังได้เปิดเผยข้อมูลว่า ตั้งแต่เปิดให้บริการในประเทศไทยมีการจัดส่งสินค้าและอาหาร คิดเป็นระยะทางกว่า 520 ล้านกิโลเมตร จากความนิยมของธุรกิจ e-Commerce โดยมีการคาดการณ์ว่าในปีนี้จำนวนผู้ใช้รายใหม่ในประเทศไทยอาจเพิ่มขึ้นถึง 250% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
