ขีดเส้นใต้ 100 เส้นที่คำว่า “บัตรเครดิตระดับสูงสุด” สำหรับบัตรเครดิต KTC JCB ULTIMATE ซึ่งบัตรกรุงไทย (KTC) จับมือ JCB ผู้ให้บริการบัตรเครดิตในประเทศญี่ปุ่น ร่วมกันเปิดตัวในไทยเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนยิ่งขึ้นหรือ upper-end segment ความสนุกของภารกิจนี้คือการมุ่งที่เซกเมนต์พรีเมียมมากกว่าเดิม เป็นการระเบิดศึกชิงฐานลูกค้าไทยกลุ่มรายได้เกิน 5 หมื่นบาทที่น่าสนใจมาก
การเปิดตัวบัตร KTC JCB ULTIMATE ทำให้ JCB เป็นบัตรเครดิตรายแรกในประเทศไทยที่ได้ออกบัตรเครดิตระดับสูงที่สุด เพื่อจับกลุ่มสมาชิกที่มีรายได้ 5 หมื่นบาทขึ้นไป ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยว มีไลฟ์สไตล์การกินอาหารระดับไฟน์ไดนิ่ง และนิยมช้อปปิ้งทางออนไลน์ ก้าวนี้ตรงกับกลยุทธ์การตลาดของ KTC ในปี 2565 ที่เน้นการขยายฐานสมาชิกใหม่ไปยังกลุ่ม upper-end เช่นกัน จนนำไปสู่การมุ่งสรรหาพันธมิตรร้านค้าใหม่ให้หลากหลายและตรงกับไลฟ์สไตล์ที่พรีเมียมมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย
ไฮไลท์ของกลยุทธ์นี้ยังอยู่ที่การมองเห็นศักยภาพในการใช้จ่ายของกลุ่มพรีเมียม ซึ่งหล่อหลอมให้ KTC JCB ULTIMATE ยิ่งโฟกัสที่การขยายฐานลูกค้าและเพิ่มสิทธิประโยชน์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการให้ตรงจุดมากยิ่งขึ้นทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้เป็นบัตรที่ใช้ได้ในทุกวัน เป็นการขยายฐานสมาชิกผู้ชื่นชอบความเป็นญี่ปุ่นได้ครบผ่าน 4 เสาหลักซึ่งจะยึดโยงให้ JCB กลับมาโตได้เทียบเท่าก่อนช่วงการระบาดของโควิด-19
เกมเปลี่ยน กลยุทธ์ต้องปรับ
JCB หรือ Japan Credit Bureau เป็นผู้ให้บริการบัตรเครดิตที่ตัดสินใจสร้างเครือข่ายการรับบัตรเครดิตในระดับสากลเหมือนวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด เพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปต่างประเทศกันมากขึ้นในช่วงก่อนโควิด-19 หลายสิบปีที่ผ่านมา JCB จับมือเป็นพันธมิตรกับธนาคารในไทยมากมายเพื่อเจาะกลุ่ม “เจแปนเลิฟเวอร์” ให้ผู้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่นได้มีสิทธิพิเศษทั้งส่วนลดและเครดิตเงินคืนแบบจัดเต็ม ทั้งกิน ช้อป และเที่ยว แต่สถานการณ์โควิด-19 ซึ่งหลายคนเดินทางน้อยลง ทำให้ JCB ต้องปรับจากกลยุทธ์ที่เคยเน้นเรื่องเลาจ์ในสนามบินกว่า 28 แห่งทั่วญี่ปุ่นและหลายประเทศ มาเป็นการสรรหาส่วนลดและสิทธิพิเศษจากร้านค้าชั้นนำในประเทศไทยและบนออนไลน์มากขึ้น
การปรับกลยุทธ์ของ JCB ให้ผลคุ้มค่า ล่าสุด JCB ประกาศผลงานโดดเด่นในปี 2564 ว่ามียอดใช้จ่ายผ่านบัตรขยายตัว 16% ขณะที่ยอดบัตรใหม่เพิ่มขึ้น 8% เป็นการกลับมาโตที่เทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19
JCB ย้ำว่าผลประกอบการนี้เป็นอานิสงส์จากการปรับกลยุทธ์เพื่อทำตลาดเชิงรุกด้านออนไลน์และโปรโมชั่นพิเศษที่อิงตามพฤติกรรมลูกค้า เนื่องจากข้อจำกัดด้านการเดินทางระหว่างประเทศ ทำให้ JCB เน้นการทำการตลาดในต่างประเทศน้อยลง ทำให้มีการวางแผนปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ มามุ่งเน้นการทำโปรโมชั่นเพิ่มเติมภายในประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของหมวดช็อปปิ้งออนไลน์ การส่งอาหาร บริการการชำระเงินแบบไร้สัมผัส และส่วนอื่น ๆ แทน
เมื่อพบว่าความสนใจของลูกค้าบัตรเครดิต JCB ช่วงก่อนหน้าโควิด-19 กับระหว่างสถานการณ์โควิดมีความเปลี่ยนแปลงไปมากในส่วนการรับประทานอาหารที่ร้าน และการปรับเปลี่ยนเป็นการทำกิจกรรมอื่น ๆ ทดแทน เช่น การช็อปปิ้งออนไลน์ ช็อปปิ้งที่ซูเปอร์มาร์เก็ต และการเลือกซื้อของแต่งบ้าน JCB จึงวางกลยุทธ์สิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ 4 หมวดไลฟ์สไตล์ของผู้ถือบัตรเครดิต JCB นั้นคือ Dining, Journey, Lifestyle และ Crown Dining
สิทธิพิเศษระดับ “ยิ่งกว่าพรีเมียม” ของ JCB จึงครอบคลุมมากกว่า 50 ร้านค้าใน 4 หมวดหมู่ ที่โดดเด่นคือหมวด Dining ที่ให้สิทธิพิเศษส่วนลดสูงสุด 20% ที่ร้านอาหารพรีเมียมยอดนิยม 10 ร้าน อาทิ ร้านอาหารอิตาเลี่ยน รอสซินีส์ (Rossini’s), ร้านอาหารญี่ปุ่นชิชิ (Shichi), ร้านอาหารไทยเรือนมัลลิการ์, ร้านของหวาน Brix Dessert Bar ขณะที่หมวด Journey ผู้ถือบัตรสามารถจองรถเช่าราคาพิเศษ เริ่มต้น 699 บาท/วัน ซึ่งรวมประกันภัยแล้ว ที่ AVIS Thailand ด้วย สำหรับหมวด Lifestyle มีการให้สิทธิ์พิเศษเป็นส่วนลดมูลค่าสูงสุด 1,400 บาททุกเดือน จากพันธมิตรออนไลน์เช่น ดอลฟิน / กอล์ฟดิกก์ (Golfdigg) / กูร์เมต์มาร์เก็ต (ออนไลน์) / แกร็บ / ลาซาด้า / ไลน์แมน / เอ็มออนไลน์ (MOnline) และช้อปปี้
4 เสาหลักสิทธิพิเศษนี้กลายเป็นจุดขายสำคัญของบัตร KTC JCB ULTIMATE ซึ่งยังคงเน้นประโยชน์เรื่องคะแนนคูณ 2 ทุกการใช้จ่ายเป็นเงินสกุลต่างประเทศทั่วโลก รวมถึงบริการรอยัล ซิลค์ เลาจน์ ซึ่งเสริมกับการตอบโจทย์ 3 ไลฟ์สไตล์คือการกินไฟน์ไดนิ่ง ช้อปปิ้งออนไลน์ และเดินทางที่คุ้มค่ากว่า เพื่อความ “เป็นที่สุดในแบบคุณ”
เป็นที่สุดในแบบ JCB
ด้วยการจับกลุ่มสมาชิกพรีเมียม และการออกบัตรระดับสูงสุดของค่าย JCB บริษัทคาดว่ายอดสมัครบัตรฯ จะแตะระดับ 50,000 ใบ และมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ใบใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่า 2,300 ล้านบาท ภายในปี 2565
สำหรับก้าวต่อไป บริษัทใหญ่อย่าง JCB รู้ดีถึงการเลือกใช้วิธีชำระเงินที่เปลี่ยนไปของลูกค้าบัตรเครดิต ดังนั้นทาง JCB จึงมีการทำงานร่วมกับกลุ่มพันธมิตร เพื่อให้ตอบโจทย์ในส่วนนี้ โดยปรับเปลี่ยนวิธีการชำระเงินให้ตรงกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า ล่าสุด JCB (สำนักงานใหญ่ในโตเกียว) ได้มีจัดตั้งแผนกส่งเสริมและสร้างสรรค์ธุรกิจของอาเซียนในสิงคโปร์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 โดยเปิดตัวธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการขยายตัวต่อไปของJCB ในพื้นที่อาเซียน พร้อมกับประกาศการลงทุนใน Soft Space ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคที่ตั้งอยู่ในมาเลเซีย ใช้งบฯลงทุนประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้เป็นจุดรับชำระเงินและ solution รูปแบบใหม่ ให้สามารถใช้อุปกรณ์ Tap on Mobile (ToM) และรวมเทคโนโลยีของ Soft Space เข้ากับธุรกิจของ JCB ในอนาคต เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มการบริการให้เกิดประโยชน์กับลูกค้าปัจจุบันของ JCB
นอกจากการขยายธุรกิจของ JCB ไปทั่วทุกประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ JCB ยังโฟกัสเรื่องการปรับวิธีทำ CRM ที่ตอบไลฟ์สไตล์ยุคนิวนอร์มัลมากขึ้น โดยกระตุ้นให้ผู้ใช้ add friend กับ JCB Thailand LINE Official Account : @JCBThailand พร้อมทั้งผูกบัตรเครดิต JCB ไว้เพื่อแลกรับ Shopee e-voucher มูลค่า 100 บาท จำนวนทั้งสิ้น 20,000สิทธิ์ (ตั้งแต่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 – 30 เมษายน 2565 หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด) บนเป้าหมายเพื่อให้ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิต JCB ได้รับข่าวสารและโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะสำหรับทุกคนอย่างต่อเนื่อง
JCB Thailand LINE Official Account จะเป็นช่องทางที่ทำให้ JCB ได้ใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ขณะเดียวกัน JCB จะได้เรียนรู้ในความชอบและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกคน เป็นการเพิ่มเติมจาก 5 ช่องทางติดตามข่าวสารโปรโมชั่นในไทยและต่างประเทศ ทั้ง JCB Thailand LINE Official Account: @JCBThailand, เว็บไซต์ภาษาไทย http://www.th.jcb/th/, แหล่งรวมโปรโมชั่นในประเทศและต่างประเทศ http://www.specialoffers.jcb/th/, การติดตามทาง Facebook: JCB Thailand และช่องทางการสมัครบัตรเครดิต JCB ที่ บมจ. อิออน ธนาคารกสิกรไทย บริษัท บัตรเครดิตกรุงศรี บริษัท บัตรกรุงไทย และ ธนาคารไทยพาณิชย์
เจแปนเลิฟเวอร์คนไหนอยากประเดิม “บัตรเครดิตระดับสูงสุด” อย่าง KTC JCB ULTIMATEเชิญสมัครเพื่อรับสิทธิพิเศษพรีเมียมมากยิ่งขึ้นก่อนใครได้เลย!