ในวิถีชีวิตปัจจุบันซึ่งเป็นยุคใหม่ที่แทบจะทุกคนจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของเงินๆทองๆ โดยเฉพาะบริการจัดการทางการเงิน เช่น การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและรักษาเงินต้น การลงทุนเพื่อวางแผนเกษียณ หรือ การลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนแบบไหนหรือในขั้นตอนไหนก็ตาม เงินเหล่านั้นจะต้องผ่านผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญในการนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ซึ่งหากจะกล่าวถึงผู้ให้บริการด้านการเงินแล้วก็จะพบว่ามีหลากหลายรายแต่ละรายก็ให้บริการที่แตกต่างกัน แต่จะมีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถให้บริการด้านการเงิน การลงทุนในแบบครบวงวร และทันสมัย (One Stop Service) สำหรับทุกกลุ่มทุกวัย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST’
เดิมทีก่อนหน้าที่บริษัทแห่งนี้จะมีชื่อว่า บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี นั้น บริษัทตั้งขึ้นภายใต้ชื่อ “บริษัทหลักทรัพย์ ธนสยาม” ในปี 2540 หลังจากนั้นเปลี่ยนผู้ถือหุ้นมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ในอดีตไม่ว่าจะเคยดำเนินธุรกิจมาอย่างไร ในรูปแบบไหนก็ตาม จนมาถึงเดือน มีนาคม 2559 กลุ่ม KTB จากเกาหลีใต้ที่ได้เข้ามาถือหุ้นอยู่ก่อนหน้านี้ ได้ขายหุ้นให้กับ “ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์” จำนวน 25% ด้วยทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท พร้อมกับล้างการขาดทุนสะสม และในเดือนธันวาคม 2559 “ดร.วิน” ถือหุ้นเพิ่มเป็น 31% พร้อมกับเพิ่มทุนจดทะเบียนขึ้นเป็น 555 ล้านบาท ทำให้ในปัจจุบัน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด อยู่ภายใต้การบริหารโดย “ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์” ซึ่งนั่งเก้าอี้ “ประธานกรรมการบริหาร” นำทัพบริหารตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา ชื่อนี้จึงมาพร้อมกับแผนการดำเนินธุรกิจในยุคใหม่ที่น่าสนใจไม่น้อย
ชื่อของ “ดร.วิน” ในอุตสาหกรรมการเงินการลงทุนแล้วแทบทุกคนจะรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดีด้วยเส้นทางของการเป็นมือบริหารมาหลายปี โดยเฉพาะในธุรกิจกองทุนรวม ไม่ว่าจะเป็น บลจ.กสิกรไทย และย้ายไปเป็นประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน (CIO) ที่ บลจ.แอสเซท พลัส ก่อนที่จะมาได้ตำแหน่ง CIO ที่บลจ.วรรณ ในเวลาต่อมา และด้วยมุมมองที่เล็งเห็นถึงศักยภาพของการธุรกิจหลักทรัพย์ประเภท ก (Full Services License) ที่สามารถทำธุรกิจการเงินการลงทุนได้อย่างครอบคลุมจึงมุ่งเป้าเข้าสู่การเป็นตัวแทนผู้ถือหุ้นและนั่งตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBSTในที่สุด
“ดร.วิน” วางหลักที่ KTBST ด้วยการตั้งธงเดินหน้าใน 8 ธุรกิจ ได้แก่ 1. ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) 2. ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) 3. ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ 4. ธุรกิจบริการซื้อขายกองทุนรวม (Mutual Funds) 5. ธุรกิจให้บริการลงทุนสินทรัพย์ในต่างประเทศ (Foreing Investment) 6.ธุรกิจด้านงานวาณิชธนกิจ (Investment Banking) 7. ธุรกิจด้านข่าวสารข้อมูลและกลยุทธ์ลงทุน (Research) และ 8.ธุรกิจที่ใช้ระบบการเงินสมัยใหม่ อย่าง Fintech เข้ามาผสมผสานในการลงทุน
นอกจากนี้ยังมีธุรกิจพิเศษที่ให้การด้านการลงทุนตามหลักศาสนาอิสลามสำหรับนักลงทุนชาวมุสลิม (KTBST Islamic Wealth Management) เป็นบริการพิเศษแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยเพื่อรองรับ นักลงทุนมุสลิมในไทยที่ต้องการลงทุนอย่างถูกต้องตามหลักศาสนา และยังมีผลิตภัณฑ์การเงินอีกหลายชนิดที่ออกมาให้บริการและที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเสาหลักทั้ง 8 ดังกล่าวนั้นมีเป้าหมายเดียวกันคือ ต้องการให้ KTBST เป็นบริษัทที่ให้บริการอย่างครบวงจร รวมทั้งสร้างการเติบโตในแบบกระจายไปในทุกธุรกิจ
โดยรวมแล้วได้เรียกว่าเป็นการสร้าง KTBST Wealth Management ขึ้นมาและสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้กับนักลงทุนได้ครอบคลุมหลากหลาย โดยจะมีที่ปรึกษาการลงทุนคอยดูแลการลงทุนตลอดเวลา ขณะเดียวกันด้วยความสามารถในการทำธุรกิจที่ครอบคลุมและหลากหลายทำให้ KTBST พัฒนาขยายของเขตธุรกิจเพิ่มขึ้นไปได้อีกในอนาคต
ด้วยวิสัยทัศน์และการวางธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการลงทุนในประเทศไทยอย่างตรงเป้าหมาย ผลตอบรับที่สะท้อนกลับมาจึงเรียกได้ว่าชัดเจนเช่นเดียวกันจาก นั่นคือ การที่บริษัทสามารถพลิกกลับมามีผลกำไรได้ในสิ้นปี 2559 เป็นผลกำไรครั้งแรกในรอบหลายปีของบริษัทที่ดำเนินมาจากเดิมที่ขาดทุนมาตลอด และแน่นอนว่าด้วยการวางแผนธุรกิจเช่นนี้ แนวโน้มการเติบโตในปีต่อๆไปจึงถูกคาดหมายว่าจะออกมาดีต่อเนื่องเช่นกัน
ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ การให้ความสำคัญกับบุคลากรในการทำงาน ที่ต้องการให้พนักงานมีคุณภาพ เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการให้บริษัทสามารถเดินหน้าไปได้อย่างมีศักยภาพ ด้วยแนวคิดที่ว่า การลงทุนต้องเป็นเรื่องที่สนุกและเข้าถึงได้ง่าย หรือ “Investment Made Fun” นั่นเอง การมีที่ปรึกษาการลงทุนนอกจากจะต้องมีความเชี่ยวชาญแล้วยังต้องมีความเป็นมิตรและจริงใจด้วย และอีกหนึ่งปัจจัยคือเรื่อง ระบบและขั้นตอนการทำงาน ถือเป็นส่วนสำคัญที่ KTBST ลงทุนอย่างเต็มที่เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจและจะเป็นโอกาสสำคัญของการที่จะเติบโตได้ในอนาคต
หากมองมาที่ผลการดำเนินงานอีกพบว่า จากการเปิดเผยของบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ล่าสุดพบว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2560 บริษัทเติบโตในแง่ของรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 จากการที่บริษัทได้มีการขยายธุรกิจเพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมาเพื่อให้ครอบคลุมบริการที่หลากหลายแก่ลูกค้า โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 บริษัท มีรายได้ 385 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ 230 ล้านบาท หรือคิดเป็น 67% และมีกำไรสุทธิเมื่อเทียบกับกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 275% จากเดิมขาดทุนอยู่ที่ 4 ล้านบาท โดยในส่วนของโบรกเกอร์มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ 1.5% ขณะที่สัดส่วนการซื้อขายในตลาด TFEX อยู่ติดอันดับ 1 ใน 5
ในด้านธุรกิจใหม่ที่ “ดร.วิน” วางไว้หลากหลายธุรกิจนั้นสามารถเดินหน้าเติบโตเช่นเดียวกัน อาทิ กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) ขนาดสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท ธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน (Selling Agent) มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท เช่นเดียวกัน ธุรกิจวาณิชธนกิจ (Investment Banking) มีการออกตราสารหนี้กว่า 10,000 ล้านบาทตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และด้วยการให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนเป็นอย่างดี จึงทำให้ธุรกิจการบริหารการลงทุนส่วนบุคคล (KTBST Private Wealth Management) เติบโตมีสินทรัพย์ภายใต้การแนะนำแก่ลูกค้า (Asset Under Advisor) มากกว่า 50,000 ล้านบาท และการให้บริการแก่นักลงทุนชาวมุสลิมผ่านช่องทาง KTBST Islamic Wealth Management จนมีขนาด AUA รวมกันกว่า 500 ล้านบาท
KTBST ระบุว่า เป็นการเดินหน้าเติบโตที่น่าพอใจและเป็นตามเป้าหมายที่วางไว้ เพราะด้วยการให้บริการแบบครบวงจร (One Stop Service) ที่สะดวกและเข้าถึงง่ายแล้ว บริษัทยังได้ยกระดับการให้บริการในระบบออนไลน์ ด้วยการ
พัฒนารูปแบบเว็บไซด์ใหม่ www.ktbst.co.th ให้มีความสวยงามง่ายต่อการใช้งานและแสดงถึงการภาพลักษณ์ของบริษัทอย่างชัดเจนในการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ไม่เพียงเท่านั้นบริษัทยังได้พัฒนา Application ใหม่ ที่ชื่อว่า “KTBST SMART APP V.1″ ซึ่งเป็น Streaming ของ KTBST โดยเฉพาะ และช่องทาง Social Media อย่าง Facebook ที่มีข่าวสารการลงทุนให้ติดตามกันอีกด้วย”
สำหรับในช่วงที่ครึ่งหลังของปี 2560 บริษัทจะเน้นการออกผลิตภัณฑ์การเงินและบริการเพิ่มเพื่อตอบสนองความต้องการผู้ลงทุนในทุกกลุ่มเป้าหมาย อาทิ เช่น การเพิ่มช่องทางการลงทุนในต่างประเทศ ขณะเดียวกันยังเน้นการพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ในการเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 และการพัฒนาบุคลากรในองค์กร รวมไปถึงการให้บริการที่ปรึกษาการลงทุน การจัดกิจกรรมเน้นให้ความรู้กับผู้ลงทุนทั้งใหม่ๆ
ดูเหมือนว่าจะยังไม่หยุดเพียงแค่นี้ แม่ทัพจาก KTBST ประกาศแผนธุรกิจใน 3 ปี “KTBST 2020″ เป็นการตอกย้ำว่าเดินหน้าเต็มรูปแบบจริงๆ โดยแผนธุรกิจ “KTBST 2020” ดังกล่าวได้มีเป้าหมาย คือ
- การขึ้นเป็นสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศไทย ให้เป็นที่ยอมรับในเรื่องบริการที่โดดเด่นแบบมืออาชีพ
- การขยายการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้เหมาะสมกับแพลตฟอร์มการเติบโตในอนาคตของ KTBST
- การปรับปรุงและยกระดับระบบ ไอที ให้ทันสมัย รวมไปถึงการพัฒนาศักยภาพของบุคคลกร
ขณะเดียวกัน “KTBST 2020″ จะเดินหน้าด้วยคีย์สำคัญที่เรียกว่า “3P” ได้แก่
- PRODUCTS : ถือเป็นส่วนสำคัญของการเดินหน้าให้ธุรกิจประสบความสำเร็จตามแผน ด้วยการมีผลิตภัณฑ์การเงินที่หลายหลายให้นักลงทุนได้เลือกเพื่อตอบโจทย์ตนเอง ขณะเดียวกันยังเน้นการให้ความรู้ในเชิงลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สำหรับพนักงานและที่ปรึกษาการลงทุน
- PEOPLE : การเน้นพัฒนาศักยภาพให้ความรู้ในเชิงลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของ KTBST และการสร้างคุณภาพของพนักงานภายในองค์กรให้มีความสามัคคี
- PLATFORM : การพัฒนาระบบปฏิบัติการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด อาทิ ด้านไอที การดูแลความปลอดภัยของข้อมูลต่างๆ ให้การดำเนินการต่างๆสามารถสอดคล้องและรองรับกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคตโดยเฉพาะในเรื่อง Finance Technology (Fintech) อื่นๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นั่นคือศักยภาพที่ KTBST ประกาศชัดเจนว่าจะเดินหน้าให้บริการด้านการเงิน การลงทุนแบบครบวงจร (One Stop Service) และการให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ในเรื่องของการลงทุน และการดูแลผู้ลงทุนให้ได้ประโยชน์จากการวางแผนทางการเงินต่อเนื่อง สอดคล้องกับแนวคิดการลงทุนที่ว่า “Investment Made Fun”
KTBST Wealth Management พร้อมยินดีให้คำปรึกษาการลงทุนด้วยนวัตกรรมการลงทุนยุคใหม่ควบคู่กับการลงทุนที่หลากหลาย ท่านที่สนใจสามารถติดต่อ ได้ที่ 02 648 1730 / 02 648 1731