เคยไหม? ที่เราจะกดไลก์ แชร์ หรือคอมเมนต์คอนเทนต์ด้านการเงินดีๆ ในโซเชียลมีเดีย แต่สุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจัดการเงินของตัวเองอย่างไรดี? เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาที่เราจะเจออยู่แค่คนเดียว แต่มีคนไทยอีกจำนวนมากที่เจอปัญหาเดียวกัน เพราะความรู้ทางการเงินในโซเชียลมีเดียนั้นกระจัดกระจาย บางครั้งก็เป็นเกร็ดสั้นๆ บางครั้งก็ซับซ้อนเกินไป จนทำให้เราไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนดี
ล่าสุดธนาคารกรุงไทยมองเห็น pain point นี้ของคนไทยจำนวนมากที่ “อยากบริหารเงินเป็น” แต่กลับติดกับดักของข้อมูลทางการเงินที่ “ท่วมท้น” ในโลกออนไลน์ ทำให้ธนาคารกรุงไทย ในฐานะผู้นำด้านการให้ความรู้ทางการเงินผ่านโซเชียลมีเดีย ตระหนักว่า “แค่ให้ความรู้” อาจยังไม่เพียงพอที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางการเงินที่ยั่งยืนได้ จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “FinFit การเงินฟิตชีวิตแข็งแรง“ แพลตฟอร์มที่จะมาเติมเต็มช่องว่างนี้ และช่วยให้คนไทยทุกคนสามารถ “ฟิต” เรื่องเงินได้อย่างตรงจุดจริงๆ
FinFit คืออะไร? ใช้งานอย่างไร?
FinFit เปรียบเสมือนเทรนเนอร์ทางการเงินส่วนตัว ที่จะมาช่วยตรวจสุขภาพการเงินของเรา พร้อมแนะนำคอร์สเรียนที่เหมาะสมกับแต่ละคน เพื่อให้ตรงกับความต้องการของเราอย่างแท้จริง โดยคำว่า FinFit สื่อถึง “Financial Fitness” หรือความแข็งแรงทางการเงินซึ่งเป็นแนวคิดหลักของแคมเปญนี้
เหตุผลที่ใช้คำนี้เพราะธนาคารกรุงไทยเชื่อว่าการมีสุขภาพทางการเงินที่แข็งแรง ก็เหมือนกับการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ลองนึกภาพ “ฟิตเนส” คนที่เข้ามาใช้บริการแต่ละคนก็จะมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน บางคนแค่อยากให้ร่างกายแข็งแรงไม่ป่วย บางคนอยากลดน้ำหนัก หรือบางคนอยากปั้นกล้ามให้สวย ดังนั้นเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายได้เร็วที่สุด ไม่ต้องลองผิดลองถูก แต่ละคนก็ต้องมีเทรนเนอร์ที่ช่วยแนะนำวิธีการที่แตกต่างกันเพื่อไปสู่เป้าหมายของแต่ละคน
สุขภาพทางการเงินก็เช่นกันที่แต่ละคนมีเป้าหมายแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการหนี้สิน บางคนอยากมีเงินออม หรือบางคนอยากลงทุนสร้างความมั่งคั่งจากเงินออมที่มีอยู่ ดังนั้นแต่ละคนก็จำเป็นที่ต้องมีผู้แนะนำที่เปรียบเสมือนเทรนเนอร์มาช่วยชี้ทางเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายได้เร็วที่สุดเช่นกัน
ด้วยแนวคิดนี้ธนาคารกรุงไทยจึงสร้างแพลตฟอร์ม FinFit เพื่อเป็นสถานที่ซึ่งทำให้เราได้ออกกำลังสมอง เรียนรู้จากเทรนเนอร์เก่งๆ เพื่อไปสู่เป้าหมายสุขภาพการเงินที่แข็งแรงต่อไปได้นั่นเอง
สำหรับแพลตฟอร์มนี้สามารถใช้งานได้ผ่านเว็บไซต์ https://krungthai.com/link/krungthai-finfit-marketingoops เริ่มต้นจาก Financial Health Check Quiz คำถามที่ช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ทางการเงินของตัวเองโดยมีคำถามอย่างเช่น ประสบการณ์การลงทุน สัดส่วนภาระหนี้สินต่อรายได้ รวมถึง ปัญหาด้านการเงินที่เราอยากจัดการมากที่สุด จากนั้นจะมีคำถามเพิ่มเติมที่ลงลึกแบบเฉพาะบุคคล คำถามเหล่านี้จะทำให้ FinFit สามารถแนะนำคอร์สเรียนที่เหมาะสมกับปัญหาทางการเงินของเราให้ได้มากที่สุดโดยจะแบ่งกลุ่มสุขภาพการเงินออกเป็น 3 กลุ่มก็คือ “วิกฤต”, “ต้องดูแลใกล้ชิด” และ “แข็งแรง”
เจาะลึก 5 กลยุทธ์ FinFit ทำไมโดนใจคนไทย?
ถามว่าผลลัพธ์ระดับนี้ธนาคารกรุงไทยทำได้อย่างไรก็ต้องบอกว่าแคมเปญ FinFit ใช้กลยุทธ์ที่น่าสนใจอยู่ 4 เรื่องด้วยกันไม่ว่าจะเป็น
- Mass Personalized Financial Fitness
หัวใจสำคัญของแคมเปญนี้ก็คือการสร้างกระบวนการ “Mass Personalized Financial Fitness” หรือการดูแลสุขภาพการเงินแบบเฉพาะบุคคล โดยเริ่มต้นจากการให้ผู้ใช้งานทำแบบประเมินสุขภาพทางการเงิน (Financial Health Check) แบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็น 3 กลุ่มหลัก เช่น
- “กลุ่มสีแดง” สถานะการเงินวิกฤต ต้องเน้นการจัดการหนี้สิน
- “กลุ่มสีเหลือง” สถานะการเงินปานกลาง รับจ่ายพอดี ไม่มีเงินเก็บ ต้องเน้นการสร้างวินัยการออมและการลงทุน
- “กลุ่มสีเขียว” สถานะการเงินดี ต้องการต่อยอดความมั่งคั่ง ต้องเน้นการเรียนรู้เรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายมากขึ้น
ระบบจะนำคนเหล่านี้ไปสู่เนื้อหาที่เหมาะกับตัวเองต่อไปเรียกว่าตอบโจทย์ pain point ของคนหาความรู้ทางการเงินในปัจจุบันที่เนื้อหากระจัดกระจาย ไม่ตรงกับความต้องการ บางทีไม่ละเอียด หรือบางทีละเอียดเกินไปทำไม่ได้จริง ไปได้ทั้งหมด
- Magnet Financial Guru
กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จก็คือการรวม “กูรูการเงินระดับ Magnet” ถึง 6 คนมารวมตัวกันอยู่ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็น คุณหนุ่ม The Money Coach ที่มาสอนวิธีการเช็คสุขภาพหนี้ของเรา วิธีการปลดหนี้แบบมือโปร แนะนำเครื่องมือปลดหนี้ รวมไปถึงการวางแผนการใช้สินเชื่ออย่างถูกวิธี โดยแต่ละตอนก็จะมีเนื้อหาเข้าใจง่าย ความยาวราว 7-8 นาทีเท่านั้นพร้อมกับ Infographic สรุปเนื้อหาให้ได้ทบทวน
นอกจากคุณหนุ่ม The Money Coach แล้วแต่ละคอนเทนต์ก็จะมีกูรูการเงินชื่อดังมาแนะนำความรู้อีกหลายคนไม่ว่าจะเป็น คุณเคน Money Buffalo, คุณเอิญ Mr. LikeStock, คุณเฟิร์น Wealth Me Up, คุณน้ำ NamFinance และคุณเอ A-Academy มาแนะนำเทคนิค วิธีบริหารจัดการการเงินที่หลากหลายตั้งแต่การจัดการหนี้ การวางแผนการออม การจัดการภาษี ไปจนถึงการจัดพอร์ตและลงทุนในหุ้นเลยทีเดียว
ด้วยความรู้ที่อัดแน่นและความสามารถในการสื่อสารแบบเข้าใจง่ายของกูรูทั้ง 6 ต้องบอกว่าสามารถตอบโจทย์การบริหารการเงินกับคนทั้ง 3 กลุ่มได้จริงๆ บวกกับการจัดเรียงคอนเทนต์ แบบเป็นระบบ มีหลายระดับ ทำให้เส้นทางการเรียนรู้ไม่น่าเบื่อ สามารถหยุดและกลับมาเรียนต่อเมื่อไหร่ก็ได้โดยไม่ต้องไปควานหาคอนเทนต์เองในโซเชียลให้เหนื่อย
3.Insight Hook Content
Insight Hook Content คือการใช้คอนเทนต์ที่ “Hook” หรือดึงดูดความสนใจของผู้คน ใช้เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเงินที่คนไทยมักเจอ เช่น ปัญหาหนี้สิน การไม่มีเงินเก็บ หรือความกังวลเรื่องการลงทุนผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ของธนาคารกรุงไทยอย่าง Line และ Facebook
อย่างเช่นโพสต์ดึงความสนใจคนด้วยคำคมโดนๆ อย่าง “ชีวิตเหมือนวิ่งอยู่กับที่หาเงินใช้หนี้ไม่เหลือเก็บ”, เงินเก็บไม่ก้าวกระโดดเพราะอยู่ในโหมด ของมันต้องมี” รวมถึง “ลงทุนเสี่ยง ท่ายาก จะลำบากถ้าความรู้ไม่พอ” เป็นต้น
คอนเทนต์ Hook เหล่านี้ถูกคิดมาอย่างดีจาก Insight ของคนที่มีสถานะทางการเงินทั้ง 3 รูปแบบ ใช้ข้อความสั้นๆ แต่โดนใจ เป็น Call to Action (CTA) ให้คนคลิกเข้าไปเช็กสุขภาพทางการเงินในเว็บไซต์ และดึงไปสู่คอร์สเรียนที่เหมาะกับตัวเองต่อไป โดยนอกจากจะสื่อสารผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของธนาคารเองแล้ว ยังมีการสื่อสารผ่าน KOL ทั้งที่เป็นแบบ Lifestyle รวมถึง KOL ที่เป็นกูรูด้านการเงิน ให้สามารถสร้างการรับรู้ในวงกว้างกับกลุ่มเป้าหมายระดับ Mass และลองเข้ามาตรวจสุขภาพทางการเงินกับ FinFit ต่อไป
- Multi-Platform Communication
ไม่เฉพาะคอร์สสอนแบบยาวๆ ในเว็บไซต์เท่านั้น แต่ FinFit ยังกระจายเนื้อหาสร้าง Awareness ผ่านหลากหลายแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ในวงกว้างได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น
- เว็บไซต์ FinFit รวมเนื้อหาไว้ในที่เดียว จัดเรียงหลักสูตรตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึง Advance ในรูปแบบวิดีโอ และมีสรุปเนื้อหาเป็น Infographic ที่เข้าใจง่าย
- TikTok และ YouTube Shorts: ลดทอนเนื้อหา นำเสนอในรูปแบบคลิปสั้น ตรงประเด็นที่อยากรู้ เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้แบบรวดเร็ว
- YouTube Playlist เป็นวิดีโอแบบยาวที่ให้หลักสูตรเชิงลึก สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้อย่างจริงจัง
- LINE และ Facebook ใช้ในการสื่อสารให้ถึงกลุ่มเป้าหมายและช่วยให้ผู้ใช้งานสนใจเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
- Search Marketing
Search Marketing เป็นอีกกลยุทธ์ที่ธนาคารกรุงไทยใช้เพื่อให้คนเข้าถึง FinFit ได้ง่ายขึ้น ไอเดียก็คือเมื่อคนได้รู้จักกับ FinFit ไม่ว่าช่องทางไหนก็ตาม เมื่อได้จดจำชื่อ FinFit ได้แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่คนเข้าไปค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด FinFit ใน Google ผลลัพธ์การค้นหาจะขึ้นเว็บไซต์ https://krungthai.com/finfit/ มาในลำดับแรกเสมอ
ดังนั้นนอกจากกลยุทธ์ในการทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอยู่ในอันดับแรกแล้ว สิ่งที่ต้องทำหลังจากใช้กลยุทธ์ Insight Hook Content ที่สร้าง Awareness ให้คนรู้จัก FinFit ผ่าน KOL ในช่องทางต่างๆ แล้ว ที่ลืมไม่ได้ก็คือการใส่ Call to Action (CTA) เพื่อให้คนเข้าไปเสิร์ชหา FinFit บน Google ไปในทุกการสื่อสารด้วยเสมอๆ
ด้วยกลยุทธ์ทั้งหมดนี้ของแคมเปญ FinFit นี้ทำให้คนไทยอีกหลายแสนคนได้เข้าถึงความรู้ด้านการเงินเพิ่มเติมมากขึ้นได้ ไม่ใช่แค่ในระดับบุคคล แต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมให้คนไทยหันมาใส่ใจเรื่องการเงินมากขึ้นได้จริงๆ ในขณะที่ธนาคารเองก็ได้นำเสนอโซลูชันทางการเงินรูปแบบต่างๆ ให้ตอบโจทย์กับคนแต่ละกลุ่มได้เช่นกัน
สร้าง Engagement เกือบ 6 แสนครั้ง ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์กรุงไทย
ความน่าสนใจไม่ได้อยู่แค่ระบบการตรวจสุขภาพทางการเงินและการจัดคอร์สให้ความรู้แบบ Personalization เท่านั้นเพราะแม้จะทำระบบมาดีแค่ไหนเนื้อหาดีแค่ไหน แต่ถ้าคนไม่รู้ว่ามีแพลตฟอร์มนี้ให้บริการนี้อยู่ก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อเราไปดูจากตัวเลขผลลัพธ์แคมเปญ FinFit ที่ได้นั้นก็เรียกว่าน่าประทับใจเพราะทำได้ตามวัตถุประสงค์การให้ความรู้ทางการเงิน รวมถึงสร้างภาพลักษณ์ของธนาคารกรุงไทยให้แข็งแกร่ง ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทยเคียงข้างไทยสู่ความยั่งยืน” จริงๆ ความสำเร็จที่ว่านี้สะท้อนออกมาเป็นตัวเลขที่ออกมาสูงกว่าเป้าหมายไปมากไม่ว่าจะเป็น
- มีผู้ทำแบบประเมินสุขภาพทางการเงินจนจบมากกว่า 100,000 คน
- มีคนเริ่มเรียนคอร์สออนไลน์ 73,864 คน คิดเป็น 74% ของคนเช็คสุขภาพการเงินทั้งหมด
- วิดีโอคอร์สมีผู้เข้าเรียน 146,000 ครั้ง
- คลิปสั้นบน TikTok และ YouTube Shorts มียอดวิวรวมกว่า 9.1 ล้านครั้ง
- FinFit สร้าง 584,016 Engagements และมีการพูดถึงในเชิงบวกถึง 75%
จากแคมเปญฯ ดังกล่าว พบว่า คนไทยเพียง 20% ที่อยู่ในกลุ่มของสุขภาพการเงินแข็งแรง มีความรู้ทางการเงินและพร้อมลงทุนเพื่อต่อยอดสร้างความมั่งคั่ง อีก 40% เป็นกลุ่มที่มีรายได้พอกับรายจ่าย มีเงินพอใช้แต่ไม่มีเงินเก็บออมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงกลุ่มที่มีเงินเก็บบ้างแต่ยังไม่มีความรู้ทางการเงินในการลงทุน และกลุ่ม 40% ที่เหลือ อยู่ในกลุ่มที่น่าเป็นห่วง คือมีภาระหนี้สินจำนวนมาก และจำเป็นต้องจัดการหนี้สินอย่างเร่งด่วน
สิ่งนี้นับเป็นการตอกย้ำถึงบทบาทของธนาคารกรุงไทยในการเป็นผู้นำด้าน Financial Literacy หรือการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับคนไทย เป็นธนาคารที่ไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้บริการทางการเงิน แต่ยังเป็น “เพื่อนร่วมทาง” ที่พร้อมสนับสนุนและผลักดันให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมแคมเปญ FinFit สามารถไปสร้างความแข็งแรงให้สุขภาพการเงิน ผ่านคอร์สเรียนจาก 6 กูรูการเงิน ได้ที่ https://krungthai.com/link/krungthai-finfit-marketingoops