เจาะกลยุทธ์ Kia จับมือ “เจฟ ซาเตอร์” ส่งแคมเปญ Make A Bold Move จุดกระแส Kia EV5 สื่อสารถึงคนรุ่นใหม่ให้ “กล้า” ที่จะเปลี่ยน

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ปี 2024 นับเป็นปีสำคัญของ Kia แบรนด์รถยนต์จากเกาหลีใต้ ในการทำการตลาดในประเทศไทย เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางการทำการตลาดครั้งใหญ่โดย Kia Corporation บริษัทแม่จากเกาหลีใต้ ตัดสินใจเข้ามาทำตลาดด้วยตัวเองผ่านบริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) กลายเป็นแบรนด์ Kia ในร่างใหม่ที่ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น มีการลุยตลาดรถยนต์ใน Segment ใหม่ๆ โดยเฉพาะการรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเป็นครั้งแรกด้วยรถยนต์ The Kia EV9 ตามมาด้วยการเปิดตัว The Kia EV5 ที่ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีในงาน Motor Show 2024 ที่สามารถทำยอดจองได้เกินเป้าหมายที่ทีมตั้งไว้ โดยทำยอดจองได้ถึง 1,500 คันเลยทีเดียว

ล่าสุด Kia ยังเดินหน้าสร้าง Brand Awareness สู่ผู้บริโภคต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ด้วยการดึง “เจฟ ซาเตอร์” ศิลปินหนุ่มมากฝีมือที่มีแฟนคลับจำนวนมากนั่งแท่นพรีเซนเตอร์ The Kia EV5 พร้อมกับปล่อยแคมเปญ “ไม่กล้า ไม่เกิด Make A Bold Move” โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้แบรนด์ Kia เป็นที่พูดถึงมากกว่าในอดีตแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

 

คุณเจ-ดี รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และการตลาด บริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) และ เจฟ ซาเตอร์

 

แคมเปญนี้มีแนวคิดเบื้องหลังอย่างไร คงต้องคุยกับคุณเจ-ดี หรือ คุณฌ็อง–ดาวิด คริสติญอง อาเรล” รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และการตลาด บริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) จํากัดพร้อมเปิดมุมมองที่มีต่อแบรนด์ Kia จาก “เจฟ ซาเตอร์” ในฐานะที่เป็นทั้งพรีเซนเตอร์และตัวแทน New Gen

 

Kia ปรับภาพแบรนด์ระดับ Global ใหม่ทั้งหมด

 

ก่อนที่บริษัทแม่จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างจริงจังต้องบอกว่า Kia เดินหน้าแผน Rebrand มาแล้วตั้งแต่ปี 2021 ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Kia Motor Corporation เป็น Kia Corporation การปรับเปลี่ยนโลโก้ การออกแบบ รวมไปถึงเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจของ Kia เอง

 

 

คุณเจ-ดี เล่าว่า Kia มีการปรับแนวทางแบรนด์ใหม่ ใช้ปรัชญาการดีไซน์แบบใหม่ที่เรียกว่า Opposite United หรือแนวคิดการใช้สิ่งที่เป็นขั้วตรงข้ามมาผสมผสานให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ของ Kia รวมไปถึงการกำหนดวิสัยทัศน์ทางธุรกิจใหม่ๆ ให้ Kia เปลี่ยนจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไปสู่การเป็น Sustainable Mobility Solution Provider หรือ “แบรนด์ที่มุ่งตอบโจทย์การเดินทางอย่างยั่งยืน”

การเดินหน้าไปสู่จุดนั้นได้ Kia ได้วางกลยุทธ์ที่เรียกว่า Plan S ที่คุณเจ-ดีระบุว่ามีหนึ่งในเป้าหมายหลักคือ การผลิตรถยนต์ EV ออกจำหน่ายให้ได้สัดส่วน 40% ของจำนวนรถยนต์ที่ Kia ผลิตออกสู่ตลาดทั้งหมดภายในปี 2030 และนั่นก็เป็นเหตุผลให้ Kia เดินหน้าทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจังในประเทศไทยเป็นครั้งแรกหลังจากตั้งบริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา พร้อมประกาศเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเรือธงอย่าง The Kia EV9 รถยนต์ SUV 6 ที่นั่ง ขับเคลื่อนไฟฟ้าเต็มระบบรุ่นแรกในไทยออกสู่ตลาด ต่อด้วย The Kia EV5 ที่สร้างเสียงฮือฮาให้กับแวดวงรถยนต์ไฟฟ้าในไทยไม่น้อย

 

วาง The Kia EV5 เป็น Game Changer ในไทย

คุณเจ-ดี เล่าถึงเป้าหมายในตลาดประเทศไทยก็คือการสร้าง Brand Awareness ให้กว้างขึ้นและเปลี่ยน Perception ของผู้บริโภคจากเดิมที่รู้จัก Kia เฉพาะแต่ Kia Carnival รถยนต์ MPV ขนาดใหญ่ที่เจาะเฉพาะกลุ่มคนวัยผู้ใหญ่ที่มีครอบครัวใหญ่ ให้เข้าถึงผู้บริโภคให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะ The Kia EV5 รถเอสยูวีขนาดกลาง ไฟฟ้า 100% ที่จะนำพาแบรนด์ Kia เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น ด้วยความโดดเด่นในเรื่องความอเนกประสงค์ และรูปทรงที่ถูกออกแบบให้มีความเป็นรถเอสยูวีอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นความกว้างขวางห้องโดยสารและพื้นที่ใช้สอย ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยและฟีเจอร์มากมายที่มอบความสะดวกสบายในระดับพรีเมียมให้กับผู้ขับและผู้โดยสาร เช่น ที่นั่งคนขับที่เป็นเบาะแบบ Relaxation Seat สามารถปรับเอนนอนได้ด้วยการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว ที่นั่งตอนหลังของผู้โดยสารที่มีพื้นที่ว่างเหนือศรีษะมากทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด และที่สำคัญในรุ่น Earth Long Range สามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าได้ไกลสูงสุดถึง 665 กิโลเมตรต่อชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC สิ่งเหล่านี้ทำให้ The Kia EV5 ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคในไทย โดยสามารถทำยอดจองได้ถึง 1,500 คันในระยะเวลาเพียง 4 เดือน

“เพื่อให้มองภาพได้ชัดเจนขึ้น Kia EV9 เป็น Brand Builder ที่จะทำให้คนเห็นความมุ่งมั่นในการพัฒนายนตกรรมไฟฟ้าของเรา ในส่วนของ Kia EV5 จะเป็น Volume Builder เป็น Game Changer ที่สร้างยอดจำหน่ายจากทั่วประเทศ” คุณเจ-ดี ระบุ

 

สร้าง Emotional Connection ด้วยแคมเปญ “‘ไม่กล้า ไม่เกิด – Make A Bold Move”

Kia ส่งรถยนต์ไฟฟ้าสองรุ่นให้คนได้ทำความรู้จักผ่าน Motor Show 2024 การจัด Event อย่าง Kia EV Playground ที่สื่อสารเรื่องพลังงานสะอาดไปถึงครอบครัวและเด็กๆ ที่ Mega Bangna รวมไปถึง Kia eXperience Roadshow ตามศูนย์การค้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และการจัดรถทดลองขับให้กับดีลเลอร์ทั่วประเทศ ทำให้ Kia ทำยอดจองได้เป็นจำนวนมากและเริ่มส่งมอบรถยนต์ถึงมือผู้บริโภคไปแล้ว

 

 

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เป้าหมายการขยายฐานกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่เป็นกลุ่มมิลเลนเนียล และครอบครัวรุ่นใหม่ที่เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) ตั้งไว้สำเร็จ Kia จึงเดินหน้าต่อเนื่องเพื่อสร้าง Brand Awareness กับคนไทยให้กว้างมากยิ่งขึ้นโดยต่อยอดการเปิดตัว The Kia EV5 ด้วยการส่งแคมเปญ Mak A Bold Move สร้าง Emotional Connection กับผู้บริโภค และเลือก เจฟ ซาเตอร์ ศิลปินมากความสามารถที่กำลังมาแรงที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทยในเวลานี้ รับหน้าที่เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับ The Kia EV5

คุณเจ-ดี ระบุว่า จุดประสงค์ของแคมเปญนี้ก็คือ การสื่อสารที่มีพลังเพื่อให้ผู้คน “กล้าที่จะเปลี่ยน” ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต การเดินทางสู่เป้าหมาย หรือการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และทีม Kia เลือกร่วมมือกับ เจฟ ที่เป็นศิลปินที่จะสื่อสารเรื่องความกล้านี้ได้เป็นอย่างดี

“ทีมเลือกเพิ่มพลังการสื่อสารผ่านศิลปินที่มีความ “กล้า” ที่จะเดินทางตามความฝันอย่าง เจฟ เพื่อสร้างแรงกระเพื่อมสู่แฟนๆ และผู้บริโภคชาวไทยในวงกว้าง และชื่อของเจฟ ก็เป็นชื่อแรกที่ทีม Kia คิดถึง และมั่นใจว่าเจฟจะสามารถสื่อสารสิ่งเหล่านี้ได้ดีที่สุด” คุณเจ-ดี เล่า

 

เจฟ ซาเตอร์

 

หนึ่งในไฮไลท์ของแคมเปญ Make A Bold Move ก็คือเพลงประกอบแคมเปญ “ไม่กล้า ไม่เกิด Make A Bold Move” ที่ Kia เปิดโอกาสให้ “เจฟ” สร้างสรรค์ด้วยตัวเองทั้งหมด  ซึ่ง เจฟ เล่าถึงแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้ไว้ว่า

“ผมแต่งเพลงนี้ขึ้นมา เพื่อที่จะเล่าถึงมุมมองของการเอาชนะความกลัวที่จะพาเราไปสู่สิ่งใหม่เนื้อหาของเพลงที่ผมอยากจะบอกกับทุกคนก็คือ แค่เราต้องกล้าออกมาทำสิ่งๆ นั้น Make A Bold Move โดยไม่ต้องกลัวอะไร แล้วความกล้าจะพาเราไปสักที่หนึ่งแน่ๆ ที่ไม่ใช่ที่เดิมเพราะถ้าไม่กล้าก็ไม่เกิด” เจฟ เล่าถึงมุมมองต่อคำว่า ไม่กล้าไม่เกิด เหมือนกับช่วงหนึ่งในชีวิตของเจฟที่เคยกล้าขายเปียโนตัวเองเพื่อตามความฝัน

“มีอยู่ช่วงนึงในชีวิตที่ผมแบบว่า กล้าที่จะขายเปียโนตัวเอง เพื่อเอาเงินมาทำสตูดิโอ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่รู้ว่าสตูนี้จะรอดไหม หรือจะเป็นยังไงต่อไปในอนาคต เราแค่รู้สึกว่าเราต้องทำสิ่งนี้ ซึ่งมันก็ใช้ความกล้าเหมือนกัน” เจฟระบุ และบอกด้วยว่าการได้ร่วมงานกับ Kia ครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่เป็นตัวเองเช่นกัน

“การได้ Represent รถที่นอกจากจะช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อม มันยังพูดถึงประเด็นที่ให้คนเรากล้าออกมาทำอะไรสักอย่าง แม้ว่าจะยังมีความกลัวอยู่ก็ตาม ดังนั้นการที่เราได้ Represent คำพูด และ Inspiration เหล่านี้ และ Represent ตัวรถที่สร้างมาเพื่อการเปลี่ยนแปลงก็เลยรู้สึกว่าเป็นตัวเราดี” เจฟ ระบุ

 

Take Over Media พร้อมเดินหน้าสร้างประสบการณ์ร่วมตลอดทั้งปี

คุณเจ-ดี เล่าถึงกลยุทธ์ในการสื่อสารของแคมเปญ Make A Bold Move เอาไว้ด้วยว่าเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารที่ไม่ได้เลือกให้ข้อมูลของรถยนต์ในแบบเดิมๆ แต่เป็นการสร้าง Emotional connection กับผู้บริโภค สื่อสารถึงความกล้าที่จะเดินหน้าไปสู่สิ่งใหม่ผ่านตัวตนของเจฟ ซาเตอร์

Kia ใช้วิธีการ Take Over Media ในประเทศไทยด้วยการส่งหนังโฆษณาออนไลน์ของเจฟนำร่องตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา ใช้สื่อที่ครอบคลุมทั่วประเทศทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดหลักของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นสื่อ  D-OOH สื่อออนไลน์และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ รวมถึงซูเปอร์แอปอย่าง LINE  และ Grab ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่คนไทยใช้ในชีวิตประจำวัน

หลังจากนั้นในวันที่ 9 สิงหาคม Kia ก็ปล่อยเพลง ไม่กล้าไม่เกิด Make A Bold Move ตัวเต็มออกมาพร้อมกับวิดีโอเบื้องหลังการถ่ายทำหนังโฆษณาผ่านช่องทาง Official ของ Kia  เพื่อสร้างการรับรู้ หลังจากนั้น Kia ยังได้เตรียมจัด Bold Garage Exhibition ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ในวันที่ 28 สิงหาคม – 11 กันยายนนี้ด้วย ก่อนที่จะเลี้ยงกระแสต่อด้วยการจัดคอนเสิร์ตสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อให้ลูกค้า The Kia EV5 และแฟนๆ ของเจฟได้ร่วมสร้าง Key Moment กับเจฟ ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

ฟังเพลงเต็มและชมเบื้องหลังการถ่ายทำหนังโฆษณาได้ผ่านช่องทางยูทูป https://www.youtube.com/@kia.thailand

 

Kia กับการ Make A Bold Move ของตัวเองที่สร้างกระแสให้แบรนด์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

คุณเจ-ดี เล่าถึงความสำเร็จในการทำตลาดในประเทศไทยในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาว่าเป็นก้าวใหญ่ก้าวสำคัญของ Kia รวมไปถึงดีลเลอร์ของ Kia ในประเทศไทยด้วย นอกจากความสำเร็จจะพิสูจน์ออกมาในรูปของยอดการจองรถยนต์ The Kia EV5 แล้ว ความสำเร็จยังพิสูจน์ได้จากการที่ Kia สร้าง Conversation ในโลกออนไลน์ของไทยได้มากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะหลังการประกาศความร่วมมือกับเจฟ ซาเตอร์ ที่แบรนด์ Kia ถูกพูดถึงอย่างมากมาย

 

 

“แคมเปญนี้เรียกว่ามีเสียงตอบรับแง่บวก เห็นได้จากสถิติวิดีโอโฆษณาที่ปล่อยไปในช่องทางออนไลน์ ตอนนี้สถิติยอดวิวรวมทุกแพลตฟอร์มก็พุ่งไปมากกว่า 5 ล้านวิวแล้วและคาดว่าในอีกไม่กี่วันจะทะลุ 10 ล้านวิว เช่นเดียวกับยอดการเข้าถึงเว็บไซต์ของ Kia ที่ตอนนี้มีคนเข้าเยอะขึ้นถึง 1 ล้านคนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา” คุณเจ-ดีระบุว่า สิ่งนี้คือบทพิสูจน์ว่า Kia กำลังเดินมาถูกทาง

 

ตลาดประเทศไทยทั้งท้าทายและเป็นโอกาสสำหรับ Kia 

สำหรับ Kia แล้วตลาดรถยนต์ประเทศไทยเป็นทั้งความท้าทายและเป็นโอกาสของ Kia ซึ่งคุณเจ-ดี ระบุว่า ตลาดไทยมีรูปแบบเฉพาะตัวโดยเฉพาะการครองตลาดของรถปิกอัพที่มากถึง 40% รวมถึงการครองตลาดของแบรนด์รถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น

อย่างไรก็ตามคุณเจ-ดีมองว่าตลาดไทยเองก็มีโอกาสที่น่าสนใจโดยเฉพาะในมุมของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปิดใจให้กับแบรนด์ใหม่ๆ มากกว่าในตลาดอื่นๆ อย่างเช่น ตลาดในยุโรปที่ผู้บริโภคไม่เปลี่ยนแบรนด์กันง่ายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคุณเจ-ดีระบุว่าเป็นเพราะคนไทยสามารถหาข้อมูลต่างๆ ผ่านโลกออนไลน์เปรียบเทียบข้อมูลได้เก่ง ทำให้มีความกล้าที่จะเปลี่ยนจากแบรนด์เดิมๆ มาลองแบรนด์ใหม่ๆ ได้มากกว่า

ทั้งหมดนี้คือเบื้องหลังแนวคิดแคมเปญ ไม่กล้า ไม่เกิด – Make A Bold Move จาก Kia ที่เป็นส่วนหนึ่งของทิศทางการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของ Kia โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ EV ในประเทศไทยที่ท้าทาย ซึ่งก็น่าติดตามว่าจะนำพา Kia ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ โดยเฉพาะการเดินสู่เป้าหมายในการเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีการรับรู้สูงสุด 5 อันดับแรกในประเทศไทยภายในปี 2028 แต่หากดูจากการเร่งเครื่องบุกตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอน

 

ติดตามกิจกรรมต่างๆของแคมเปญ ได้ที่ https://kia-th.com/3SPS0Tz


  •  
  •  
  •  
  •  
  •