ในงาน KBTG Techtopia ปีนี้มาในธีม A Blast From the Future ภาพที่ได้เห็นคือผู้คนมาร่วมงานล้นหลาม นับเป็นภาพน่ายินดีที่แสดงให้เห็นว่า คนไทยจำนวนมากให้ความสนใจ AI ในโลกยุคเทคโนโลยีที่มีวิวัฒนาการผันเปลี่ยนและก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้เอง KBTG นำโดย กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส – เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ก็ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง KBTG กับ AI Fund ห้องปฏิบัติการสร้างสตาร์ทอัพด้าน AI ระดับโลกเพื่อสนับสนุนการเติบโตและการขยายตัวของธุรกิจใหม่ๆ ด้าน AI นั่นทำให้ ไฮไลต์ในงานนี้คือการปรากฏตัวครั้งสำคัญของ Andrew Ng หนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งโลก AI ที่เหล่าสายเทคตื่นเต้นกันมาก Andrew Ng เป็น Managing General Partner ของ AI Fund, ผู้ก่อตั้ง DeepLearning.AI, ผู้ร่วมก่อตั้ง Coursera และบุคคลที่ได้รับการขนานนามจากนิตยสาร Time ว่าเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกด้าน AI และเพิ่งได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกบอร์ดของ Amazon.com เพื่อพลิกเกมเรื่อง AI ให้กับ Big Tech แห่งนี้
โดยทั้งสองพาร์ทเนอร์มีการเซ็น MOU ภายในงาน และร่วมพูดคุยถึงจุดเริ่มต้นของก้าวสำคัญ เมื่อ KBTG ประสาน AI Fund พันธมิตรระดับโลก เดินหน้าภารกิจขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดประตูสู่โอกาสในระดับโลก และการขับเคลื่อนมนุษยชาติ
ผสานความเชี่ยวชาญด้าน AI และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม
KX Venture Capital หรือ KXVC เป็นบริษัทร่วมลงทุนในกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส – เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBTG วางตัวเป็น Gateway ของภูมิภาค เพื่อลงทุนใน AI, Web3 และ Deep Tech fintech startups และเครือข่ายกองทุนชั้นนำทั่วโลก เพื่อสร้างเครือข่ายในภูมิภาค ทั้งในเอเชีย-แปซิฟิค โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคสังคมดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างมาก
ส่วนทางด้าน AI Fund คือ Venture Studio ห้องปฏิบัติการสร้างสตาร์ทอัพ ที่ต้องการเร่งการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ประโยชน์ เพื่อผลักดันให้มนุษยชาติก้าวไปข้างหน้า โดยทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ เพื่อสร้างธุรกิจอย่างรวดเร็วและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ มีทีมงานประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ผู้ปฏิบัติการ นักธุรกิจและนักลงทุน รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรชั้นนำ ได้แก่ NEA, Sequoia และ Softbank
การร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ ก็เพื่อสนับสนุนการเติบโตและการขยายตัวของธุรกิจใหม่ๆ ด้าน AI โดยจะผสานจุดแข็งของโมเดลห้องปฏิบัติการธุรกิจ หรือ Venture Studio ของ AI Fund เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และความเป็น Industry Expertise ของ KBTG ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อพัฒนาโซลูชันใหม่ๆ ที่สามารถแก้ไขปัญหาในโลกจริงได้ โดย AI Fund และ KBTG จะร่วมมือกันสร้างธุรกิจใหม่ๆ และเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายของทั้งสองฝ่ายให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
คุณกระทิงกล่าวว่า ความร่วมมือนี้เกิดจากการที่ AI Fund เล็งเห็นถึงการเป็นผู้นำด้านโซลูชัน Human-first AI ของ KBTG รวมไปถึงเครือข่ายชุมชนเทคโนโลยีทั้งในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเลือกที่จะผนึกกำลังกับ KXVC เพื่อเพิ่มช่องทางให้กับบริษัทในพอร์ตของ AI Fund สามารถเข้าถึง Ecosystem ที่แข็งแกร่งของ KXVC และใช้ AI มาช่วยขับเคลื่อนมนุษยชาติไปข้างหน้า
“เป็นเกียรติมากๆ ที่คุณ Andrew มาที่ประเทศไทย สุดท้ายเขากลับไป ประเทศไทยไม่ได้มือเปล่าแน่นอน แต่จะมีของติดไม้ติดมือหลายอย่าง แล้ววันนี้คนมากันเต็มเลย เป็นสัญญาณที่ดี เห็นเด็กๆ รุ่นใหม่ๆ สนใจเรื่อง AI ผมว่ามันมีโอกาสมหาศาล คุณ Andrew เองก็บอกว่ามีหลายเซกเตอร์ที่เราสามารถทำได้”
ด้านคุณ Andrew พูดถึงความร่วมมือในครั้งนี้และได้ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย
“ผมได้พบกับคุณกระทิงเมื่อหลายเดือนก่อน และได้ทราบถึงศักยภาพของ KBTG เกี่ยวกับหลายๆ แอปพลิเคชันที่ KBTG ทำอยู่ AI Fund นั้นเน้นด้าน AI แต่เราไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเรื่อง Banking ถ้าไม่มีพาร์ทเนอร์อย่าง KBTG และ K Bank เราก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าจะใช้แอปพลิเคชันให้เกิดประโยช์อย่างไร เมื่อได้หารือร่วมกัน ผมรู้สึกโชคดีที่เห็นไอเดียมากมายที่เราทำร่วมกันได้ ซึ่งเมื่อพูดถึง AI ในไทย ผมรู้สึกเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีศักยภาพ และหวังว่าคนไทยก็จะเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองเช่นกัน”
โฟกัสที่จุดแข็งของประเทศ เสริมศักยภาพให้แกร่งยิ่งขึ้นด้วย AI
โจทย์ลำดับแรกๆ ที่เป็นโฟกัสในการพัฒนาด้วย AI สำหรับการ collaboration ในครั้งนี้ก็คือเรื่องการศึกษา เพราะเป็นเซกเตอร์ที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด ซึ่งทั้งคุณกระทิงกับคุณ Andrew มีแพสชั่นร่วมกันมากๆ ในเรื่องนี้
“คุณ Andrew เขาไม่ได้เป็นเวิลด์ลีดเดอร์ทางด้าน AI อย่างเดียว แต่ยังเป็นเวิล์ดลีดเดอร์ด้านการศึกษาด้วย อย่าง Coursera มีนักเรียน 8 ล้านคน รวมถึงมีแพลตฟอร์มอย่าง DeepLearning.AI ที่มีคอร์สดีๆ อย่าง Generative AI for Everyone และอีกมากมาย ซึ่งเราจะนำองค์ความรู้เหล่านั้นมาสอนคนไทย” คุณกระทิงเล่าและขยายความต่อ
“เรื่องการศึกษาในประเทศไทย เราดูสองโจทย์ หนึ่งคือ การสอนคนไทยเรื่องความรู้ด้าน AI ซึ่งมีหลายระดับ เหมือนที่ผมพูดว่าต้อง All-in เด็กตั้งแต่มัธยมต้น มัธยมปลาย จนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัย แม้กระทั่งคนทั่วไปด้วย เราไม่ได้ทำคนเดียว แต่จับมือกับกระทรวงต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจะเข้าไปถึงคนไทย
“นอกจากสอนคนเรื่อง AI สองคือ เราก็เอา AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและแก้โจทย์เรื่องการศึกษา เช่น การนำ AI ไปช่วยเด็กมัธยมในการเรียนรู้ เพราะตอนนี้เรามีปัญหาขาดแคลนครูที่มีคุณภาพ เราก็ได้คุยกับ กสศ. หรือ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คุยกับกระทรวงศึกษาธิการ ทำยังไงให้เด็กไทยระดับมัธยมเข้าถึงการเรียนรู้ คุณครูเองก็เช่นเดียวกัน จะถูก Empower ด้วยตัว AI ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในเฟสของ Explore อยู่”
ด้านคุณ Andrew เอง ที่มองว่าประเทศไทยมีโอกาสเรื่อง AI อีกมาก และเชื่อมั่นในศักยภาพของบ้านเรา ยกตัวอย่างเซกเตอร์ที่ AI จะเข้ามามีบทบาท เช่น Healthc are, Tourism และ Agriculture นั่นคือการโฟกัสที่เซกเตอร์ที่เป็นจุดแข็งของประเทศก่อน และนำ AI เข้ามาเสริมศักยภาพให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“ประเทศไทยมี Medical Tourism ที่แข็งแรง ทำให้คนเดินทางมา ซึ่งผมเห็นว่า AI จะมีบทบาทอย่างมาก ใน Healthc are หรืออุตสาหกรรมที่แข็งแรงอยู่แล้ว และนำ AI เข้ามาใช้เป็นโอกาสที่จะทำให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเช่นเดียวกับการท่องเที่ยว แต่ตอนนี้ยังเป็นไอเดียทั่วไปที่เราแชร์กัน เป็นการ Explore ซึ่งยังเร็วไปที่จะพูดเจาะจงว่าทำอะไร”
คุณกระทิงเล่าเสริมคุณ Andrew เกี่ยวกับเรื่อง Healthcare จากประสบการณ์ของตัวเอง
“อย่างล่าสุด The Economist ลงว่าทำไมประเทศอื่นถึงอิจฉาประเทศไทยเรื่องของระบบสาธารณสุข ซึ่งผมเคยป่วยและได้รับการรักษาที่อเมริกา ก็กล้าพูดได้เลยว่า จริง หรืออย่างผมไปคอนเฟอเรนซ์ที่ฮ่องกง ปรากฏว่าคนรู้จักอาจารย์หมอไทยเหมือนเป็นซูเปอร์สตาร์เลย แต่นอกจาก Healthc are ของไทย ตอนนี้มันไป Self Care ดูแลตัวเองก่อนป่วย ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องที่ AI จะเข้ามาเลย การมอนิเตอร์ต่างๆ แล้วเอาข้อมูลเหล่านี้มาดูแลตัวเอง ซึ่งประเทศไทยมีโอกาสมหาศาลในเรื่องของ Holistic Wellness ซึ่งมีห่วงโซ่ที่ยาวมากเมื่อรวมกับเรื่อง Tourism”
นอกจากนี้ คุณกระทิงยังยกตัวอย่างว่า ประเทศไทยมีหลายอุตสาหกรรมมากที่ต้นทุนค่อนข้างสูง ถ้าสามารถใช้ AI เข้ามาแล้วลดต้นทุนได้ จะเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศมหาศาล
“เช่นโลจิสติกส์ เอา AI ไปใช้ทำให้การขนส่งทางเรือประหยัดไป 5 แสนเหรียญต่อเรือหนึ่งลำ คือโหดมาก คิดดูถ้านำ AI มาใช้กับสิ่งต่างๆ ของประเทศไทย ซึ่งจริงๆ มันคือการจินตนาการ Use Case ใหม่ๆ ที่เป็นไปได้ โดยเริ่มจากอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีฐานอยู่แล้ว”
ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว ต้องสร้าง Ecosystem
KBTG นั้นถือเป็นอีกหนึ่งผู้บุกเบิกทางด้าน AI ในประเทศและภูมิภาค สร้างเป็น AI Ecosystem ในด้านต่างๆ ซึ่งทางคุณ Andrew บอกว่า การที่ AI Fund ร่วมมือกับ KBTG ซึ่งมีเครือข่ายอันทรงพลังนั้น จะเป็นการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ด้านสตาร์ทอัพที่จะตอบโจทย์ทั้งในประเทศไทยและตลาดโลก
“คุณกระทิงก็ได้ทำบทบาทตรงนี้อยู่แล้ว ซึ่งเราก็สามารถที่จะเข้ามาซัพพอร์ต ไม่ว่าจะเรื่องการศึกษา และหาไอเดียอื่นๆ ร่วมกัน ส่ิงหนึ่งที่ผมเรียนรู้ใน Tech World คือ ไม่มีใครประสบความสำเร็จด้วยตัวคนเดียว เราจะแข็งแกร่งขึ้นจากความร่วมมือใน Ecosystem ทำงานร่วมกัน แชร์ความรู้ร่วมกัน ช่วยเหลือกันและกัน เราจะร่วมมือกับ KBTG สร้างธุรกิจสร้างบริษัทใหม่ๆ เสิร์ฟประเทศไทย และจะหาพาร์ทเนอร์อื่นๆ ในประเทศไทยที่จะทำงานด้วยเช่นกัน” คุณ Andrew บอก
ด้านคุณกระทิงได้พูดทิ้งท้ายถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า นอกเหนือจากประโยชน์อื่นๆ แล้ว สิ่งสำคัญคือเรื่องของการสร้าง Ecosystem นั่นเอง
“ผมดีใจที่ KBTG ได้ร่วมมือกับคุณ Andrew พามาประเทศไทย ไปพบนายกรัฐมนตรี ไปเจอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ รัฐมนตรีกระทรวง อว. ก็เพื่อให้แน่ใจว่า สิ่งที่เราตั้งใจทำ มันไม่ใช่แค่ KBank และ KBTG ได้ประโยชน์อย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของการสร้าง Ecosystem สิ่งสำคัญของการสร้าง Ecosystem คือ มีการนำ AI มาใช้เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน แล้วเรามีพื้นฐานอีกหลายอย่างที่สามารถแข่งขันได้ มันมีความหวัง หน้าที่ของผม KBTG และ K Bank ก็คือพาคนเหล่านี้มาที่ประเทศไทย แล้วเราเวิร์กกับคนที่เป็นเวิลด์คลาส ซึ่งเป็นเกียรติมากที่ได้โปรเฟสเซอร์ Andrew Ng มา แล้วเดี๋ยวจะมีความร่วมมืออื่นๆ ตามมามากมาย”
#KBTG #KBTGTechtopia #ABlastFromTheFuture #BeyondPartnership