ธุรกิจฟิตเนสคลับ หรือยิมในประเทศไทย ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมหาศาล ด้วยปัจจัยบวกรอบด้าน ทั้งคนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จึงเลือกสรรอาหารการกิน และออกกำลังกาย ขณะเดียวกันเมื่อดูการขยายตัวของธุรกิจฟิตเนสในไทย ส่วนใหญ่ยังเน้นขยายสาขาในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ซึ่งปัจจุบัน Penetration ของคนที่อาศัยในกรุงเทพฯ มีเพียง 5% ของประชากรกรุงเทพฯ เป็นสมาชิกฟิตเนสคลับ ตรงกันข้ามกับเมืองใหญ่ของโลก เช่น นิวยอร์ก วอชิงตัน ดีซี ปารีส ซิสนีย์ ประชากรของเมืองใหญ่เหล่านี้ เป็นสมาชิกฟิตเนสคลับ เฉลี่ย 10 – 15% ของประชากรเมืองนั้นๆ
นี่จึงทำให้ “ธุรกิจฟิตเนสคลับ” ในไทย กลับมาเป็น Sunrise Market อีกครั้ง หลังจากในยุคหนึ่งเมื่อครั้งอดีต ธุรกิจนี้ได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไม่น้อย เป็นผลต่อเนื่องมาจากโมเดลธุรกิจของเชนฟิตเนสคลับที่ปิดตัวไปก่อนหน้านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ “New Player” โดยเฉพาะที่เป็นเชนต่างประเทศ ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคไทย และถ้าจะแจ้งเกิดในธุรกิจนี้ได้ ต้องมาพร้อมกับ “ความแตกต่าง” จากผู้เล่นที่อยู่ในตลาดมาก่อน และความแตกต่างที่ว่านี้ ต้องสามารถแก้ Pain Point ผู้บริโภคไทยด้วยเช่นกัน
“Jetts Fitness” ผู้ท้าชิงที่ Set Rule of the Game ธุรกิจฟิตเนสไทย
“Jetts Fitness” (เจ็ทส์ ฟิตเนส) ผู้ให้บริการฟิตเนสคลับ 24 ชั่วโมงจากออสเตรเลีย ที่ปัจจุบันมี 280 คลับ ในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และล่าสุดเปิดในไทยเมื่อปีที่แล้ว เหตุผลที่เลือกลงทุนในไทยเป็นประเทศแรกของเอเชีย “คุณไมค์ แลมบ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Jetts Fitness 24 hour ภูมิภาคเอเชีย” เล่าว่า เพราะธุรกิจฟิตเนสคลับในไทย เซ็กเมนต์กลาง (Middle Market) ในไทยยังมีช่องว่างตลาดที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
ดังนั้นการเข้ามาของ “Jetts Fitness” ที่ใช้เวลาไม่ถึงปี สามารถขยายสาขาได้แล้ว 10 สาขา และมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 2 สาขาในช่วงเดือนธันวาคมนี้ (อาคารเอสพี ทาวเวอร์ บีทีเอสอารีย์, พาร์ค 39 บีทีเอสพร้อมพงษ์) เท่ากับว่าภายในสิ้นปีนี้ จะมีจำนวนคลับทั้งหมด 12 สาขา และในเดือนมกราคมปีหน้า จะเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา ที่เกตเวย์ บางซื่อ, เอกมัยมอลล์, มาร์เก็ตเพลส ดุสิต
ขณะที่ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาด 50% ของตลาดฟิตเนสคลับ กลุ่มเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง (วัดจากฐานสมาชิก Jetts Fitness ปัจจุบันมี 10,000 คน จากจำนวนสมาชิกโดยรวมของฟิตเนสคลับเปิด 24 ชั่วโมงมี 20,000 คน) ขณะที่เป้าหมายใหญ่ คือ เปิดให้ได้ 100 สาขาภายใน 5 ปีนับจากนี้
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “Jetts Fitness” ในประเทศไทย รุกขยายธุรกิจได้เร็ว มาจาก
1. Business Model การเป็นฟิตเนสคลับ เปิด 24 ชั่วโมง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคนี้ ที่มีความยืดหยุ่นสูง ไม่ได้ติดอยู่กับช่วงเวลา 8 โมงเช้า จนถึง 5 – 6 โมงเย็นเท่านั้น
ขณะเดียวกันการเปิด 24 ชั่วโมง ช่วยเพิ่มโอกาสการให้บริการแก่ลูกค้ามากขึ้น ทำให้สามารถรองรับลูกค้าเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ “Jetts Fitness” มีรายได้มากขึ้น ซึ่ง Peak Time ของ “Jetts Fitness” ในไทย อยู่ที่ช่วงเวลา 17.00 – 20.00 น. คิดเป็น 40 – 50% ของฐานสมาชิกรวมที่ปัจจุบันมี 10,000 คน นอกจากนี้ยังมีอีก 10% ของสมาชิกรวม มาใช้บริการในช่วง 22.00 – 1.00 น.
การเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงนี้ เขย่าให้ Major Player ที่อยู่ในตลาดไทยมาก่อน อย่าง “Fitness First” ถึงกับต้องพัฒนาสาขาเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงเช่นกัน นำร่องสาขาแรกที่แพลตตินั่ม คิวเฮ้าส์ ลุมพินี
2. โฟกัส Target Market ชัดเจนที่กลุ่มชนชั้นกลาง เป็นแนวโน้มของประชากรทั่วโลก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่กลุ่มชนชั้นกลาง (Middle Class) เติบโต สอดคล้องกับการขยายตัวของ Urbanization ดังนั้น “Jetts Fitness” มองเห็นโอกาสธุรกิจจากประชากรกลุ่มนี้ ที่มีพลังมหาศาล จึงมุ่งทำตลาดนี้โดยเฉพาะ
3. ราคาเข้าถึงง่าย เริ่มต้นค่าสมาชิก 1,500 บาทต่อเดือน ทำให้สามารถเจาะผู้บริโภคกลุ่มชนชั้นกลางที่พิจารณาปัจจัยด้าน Value for money ควบคู่กับสถานที่สะอาด ปลอดภัย และมีอุปกรณ์การเล่นที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ โดยไม่เล่นสงครามราคา หรือโปรโมชั่น เพื่อให้ธุรกิจยังคงมีกำไร นำไปขยายธุรกิจได้ต่อเนื่อง
4. ไม่มีเงื่อนไขผูกมัด ผลจากเหตุการณ์เชนฟิตเนสคลับปิดตัวในไทยไปก่อนหน้านั้น กระทบต่อความเชื่อมั่นในธุรกิจฟิตเนสคลับในเมืองไทยไม่น้อย เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคไทยไม่สมัครสมาชิกฟิตเนสคลับที่ไหน เพราะกังวลเรื่องสัญญาผูกมัด นี่เป็นอีกหนึ่ง Pain Point ใหญ่ที่ “Jetts Fitness” ชูเรื่อง “ไม่มีเงื่อนไขผูกมัด” เป็นอีกหนึ่งจุดขายสำคัญ เพื่อทำให้ผู้บริโภคกล้าตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิก
5. โลเกชั่นขยายสาขาเน้น “ความสะดวก” ใกล้สถานีรถไฟฟ้า และย่านชุมชน โดยเจาะเข้าถึงคอมมูนิตี้ มอลล์, อาคารสำนักงาน, คอนโดมิเนียม ที่มีพื้นที่รีเทลให้บริการ
เป็นโมเดลธุรกิจที่แตกต่างจาก “ธุรกิจฟิตเนสคลับ” ในไทยก่อนหน้านี้ที่เชนระดับอินเตอร์เนชั่นแนลหลายราย เน้นขยายสาขาเข้า “ศูนย์การค้า” ขนาดใหญ่ เพราะมองว่าศูนย์การค้ามี Traffic หนาแน่น และตอบโจทย์ความครบวงจร แต่การเปิดในศูนย์การค้า ก็ต้องเจอกับข้อจำกัดด้านเวลาเปิด-ปิด ทำให้การเปิดในศูนย์การค้าที่มีเวลาเปิด-ปิด ไม่ตอบโจทย์โมเดลธุรกิจของ “Jetts Fitness”
ประกอบกับ “Jetts Fitness” เป็นฟิตเนสคลับ ที่เน้นความสะดวก – รวดเร็ว และเน้นการเล่นอุปกรณ์ โดยเฉลี่ยการมาใช้บริการของสมาชิกต่อคนจะอยู่ในยิม ประมาณ 1 ชั่วโมง ทำให้เกิดการหมุนเวียนของผู้ใช้บริการเร็ว ตรงนี้เองทำให้ไม่ขนาดสาขาของ “Jetts Fitness” ไม่จำเป็นต้องใหญ่มากขนาด 2,000 ตารางเมตตามผู้เล่นรายอื่น แต่มีพื้นที่ 600 – 1,000 ตารางเมตร ก็สามารถเปิดสาขาได้แล้ว เมื่อใช้พื้นที่ขนาดไม่ใหญ่มาก จึงทำให้สามารถขยายสาขาได้เร็ว และยืดหยุ่นกว่าฟอร์แมตใหญ่
6. ใช้ความได้เปรียบของการเป็นเชน ที่มีสาขาทั้งในไทย และต่างประเทศ สมาชิกสามารถใช้บัตรใบเดียว เข้าใช้บริการได้ทั่วโลก
หวังเป็น “The Most Loved Gym” สำหรับสมาชิก-พนักงาน
“ด้วยภาวการณ์แข่งขันที่ดุเดือดของอุตสาหกรรมฟิตเนสในประเทศไทย ส่งผลให้ผู้บริโภคที่รักการออกกำลังกายมีตัวเลือกหลากหลายขึ้น “Jetts Fitness” กำหนดวิสัยทัศน์ชัดเจน เพื่อผลักดันให้ธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระยะยาว ด้วยการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และได้วางกลยุทธ์ “The Most Loved Gym” สำหรับสมาชิก และพนักงาน ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าว คือ การทำให้สมาชิกรู้สึกพึงพอใจ และมีความสุขทุกครั้งที่เข้ามาที่คลับ”
ปัจจุบันพนักงานประจำต่อสาขาของ “Jetts Fitness” อยู่ที่ 10 – 20 คน โดยมี 1 คนเป็นผู้จัดการทั่วไป และอีก 1 คนเป็นแอดมิน ส่วนที่เหลือเป็น Personal Trainer โดยสมาชิกที่จ่ายเพิ่มค่า Personal Trainer มีแนวโน้มอยู่กับยิมนานไม่ต่ำกว่า 3 – 5 ปี ดังนั้น Personal Trainer นอกจากทำหน้าที่ให้คำแนะนำ และฝึกการออกกำลังกายให้กับสมาชิกผู้ใช้บริการแล้ว ยังมีบทบาทในการช่วยรักษา Loyalty ของสมาชิกอีกด้วย
