หากนึกถึงแบรนด์สินค้าจากจีนที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย เชื่อว่า Huawei คือหนึ่งในแบรนด์ต้นๆ ที่หลายคนนึกออก โดยเฉพาะในตลาด Smartphone ที่เรียกได้ว่าใช้ระยะเวลาอันสั้นในการทำการตลาดจนสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง Top 3 ในตลาด Premium ของประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จ โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 มียอดขายโตกว่า 8 เท่าในเชิงจำนวนเครื่องและเพิ่มขึ้น 5 เท่าในเชิงมูลค่า ที่สำคัญส่วนแบ่งทางการตลาดจากที่มีเพียง 1.2% ในปี 2016 เพิ่มขึ้นมาเป็น 10.7% ในปี 2017
โดยเฉพาะตลาด Smartphone ในระดับ Premium หรือที่ระดับราคา 15,000 บาทขึ้นไปได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคทั้งในซีรีย์ Mate และ P ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Huawei เติบโตอย่างรวดเร็วประกอบไปด้วย 4 ด้าน ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product), การขยายช่องทางจัดจำหน่าย (Channel), การสร้างแบรนด์ (Branding) และการยกระดับบริการหลังการขาย (After Sale Service)
การพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้น Huawei ชี้ว่าจะเน้นเรื่องผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทำให้ Huawei ต้องจัดตั้งศูนย์ R&D กระจายทั่วโลกรวม 15 แห่งพร้อมทั้งยังมองหาพันธมิตรในการร่วมมือเพื่อร่วมกันสร้างศูนย์พัฒนานวัตกรรมร่วม (Joint Innovation Centers) กว่า 36 แห่งทั่วโลก โดยใช้งบลงทุนด้าน R&D รวมแล้วกว่า 4.5 หมื่นล้านดอลล่าร์
ในส่วนของช่องทางจัดจำหน่าย Huawei มีร้านค้าของตัวเอง (Brand Shop) กว่า41 แห่งทั่วประเทศและตั้งเป้าขายร้านในแบรนด์ Huawei ให้ถึง 60 แห่งในปีนี้ นอกจากนี้ยังจับมือกับ Partner ในการร่วมมือกันขายสินค้า Huawei อีกกว่า 9,000 ร้านค้า และ Huawei ยังมีขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเพิ่มช่องทางจำหน้ายเป้น 10,000 ร้านค้า
แบรนดิ้งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ Huawei ให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดย Huawei จะเน้นการสร้างการรับรู้ (Brand Awareness) เป็นหลัก โดยเฉพาะการเข้าไปอยู๋ในอันดับของสื่อและองค์กรระดับโลก เช่น Huawei เป็นอันดับที่ 83 บน Fortune’s Global 500, เป็นแบรนด์อันดับที่ 72 บน Interbrand เพื่อให้สินค้าอย่างในซีรีย์ Mate และ P เป็นที่รู้จักของตลาดมากยิ่งขึ้น
ขณะที่การบริการหลังการขาย Huawei ได้ขยายศูนย์บริการ (Huawei Customer Service Center) เพิ่มขึ้นมาเป็น 14 แห่งในประเทศไทย พร้อมจุดรับเครื่องเพื่อส่งต่อศูนย์บริการ (Collection Point) อีกกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ และบริการที่เรียกว่าโดดเด่นกว่าคู่แข่งกับบริการ Door to Door Service ที่ให้เจ้าหน้าที่ของ Huawei ไปรับและส่งมอบเครื่องถึงที่ที่ผู้บริโภคต้องการ รวมไปถึงการเป็นแบรนด์แรกที่มีการรับประกันนานถึง 2 ปี
สำหรับกลยุทธ์ในประเทศไทยของ Huawei ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ Huawei จะเน้นไปที่การพัฒนาในเรื่องของ AI (Artificial Intelligence) ซึ่ง Huawei มองว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเป็นลักษณะการอัพเกรดเครื่องเพื่อใช้งาน และมีปัจจัยอื่นช่วยกระตุ้นให้เกิดการอัพเกรดเครื่อง ทั้งเทคโนโลยีระดับพรีเมี่ยมที่ลงมาสู่ Smartphone ระดับกลาง กลยุทธ์ด้านการลดแลกและปัจจัยด้านการเงิน เป็นต้น ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความต้องการเปลี่ยนเครื่องรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคจะพิจารณาจากความสามารถของกล้อง, ดีไซน์และระบบประมวลผล (Ram+Rom) โดยมีรอบการเปลี่ยนเครื่องจะอยู่ที่ 1-1.5 ปี
นอกจากนี้ในปีนี้ Huawei ยังเตรียมตัวเปิด “AI Chipset” ที่ยังคงอุบไว้เป็นความลับแต่มีการคาดการณ์ว่าจะเป็น Chipset ที่สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์อื่นได้อัตโนมัติ ซึ่ง Huawei ยืนยันว่าปีนี้ได้รู้แน่นอนว่า AI Chipset คืออะไร
Copyright © MarketingOops.com