“ฮาริสัน” ตัวแทนนายหน้าระดับอินเตอร์ เผยภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในไทยลู่ทางสดใสไปต่อได้อีกไกล เนื่องจากราคาที่ดิน เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ยังห่างไกล ต่ำกว่าจีน 20% และต่ำกว่าฮ่องกง, สิงคโปร์ถึง 60% แม้ราคาที่ดินจะปรับขึ้นต่อเนื่องทุกปี ล่าสุดปรับขึ้นอีก 10-30% (ขึ้นอยู่กับทำเล) แต่ก็ถือว่ายังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับศักยภาพ จึงเป็นทางเลือกที่ดีมากสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
“ทาวน์เฮ้าส์” ครองแชมป์โปรดักส์สุดฮอต
ล่าสุด ฮาริสัน ได้จัดแถลงข่าวกลยุทธ์ โรดโชว์ดึงนักลงทุนในตลาดต่างประเทศ โฟกัสอังกฤษ, จีน รวมถึงให้บริการกลุ่มเศรษฐีไทย ที่ต้องการครอบครองสินทรัพย์ นต่างแดน ชี้เวลานี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการลงทุน คาดการณ์ตลาดอสังหาฯ ใช้เวลาแค่ 1-2 ปี จะขยับและเติบโตเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังเผยข้อมูลโปรดักส์และทำเลสุดฮอตในปีที่ผ่านมาของไทย เป็นไปตามคาดว่า “ทาวน์เฮ้าส์” ครองแชมป์ ส่วนทำเลกรุงเทพฯ ล้นทะลัก กลายเป็นปีทองของปริมณฑล
มองเห็นโอกาสการเติบโตของอสังหาฯ
คุณหลิน กว่าง จุงอลัน ประธานกรรมการบริหาร (Mr. Kwang Jung Alan Lin, CEO of Harrison Public Company Limited) เผยทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า “สืบเนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวไปทั่วโลก โดยเฉพาะ ยุโรป อเมริกา จีน และการแข่งขันทางการตลาดในเมืองไทยก็ถือว่าสูงเช่นกัน แต่ทางฮาริสันถือว่าเป็นโอกาสของตลาดทุนที่จะสามารถมาลงทุนที่ประเทศไทยในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของจีน ชะลอตัวอย่างมาก การที่จะพัฒนาที่ดินของจีน จะหาแหล่งที่ดินใหม่ๆ ได้ยากขึ้น สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งก็ยากที่จะแข่งขันในช่องทางการตลาดของต่างประเทศ เมืองไทยก็มีลูกค้าจากต่างประเทศ Potential มาก เนื่องจากราคาที่ดินของไทยยังถูกกว่า 20% เมื่อเทียบกับจีน และไทยยังถูกกว่า 60% เมื่อเทียบกับฮ่องกงและสิงคโปร์
เราจึงเน้นในเรื่องของการขยายบริการของตลาดในไทยไปต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศ อังกฤษและจีน ซึ่งเราจะมุ่งเน้นการบริการให้กับนักลงทุนในต่างประเทศให้มาลงทุนกับไทย โดยเฉพาะ นักลงทุนของประเทศอังกฤษและจีน เพราะ 2 ประเทศนี้มีสภาพเศรษฐกิจที่มั่นคงและมีนักลงทุนที่สนใจจะมาลงทุนในประเทศไทยมากที่สุด ณ ปัจจุบัน และทางฮาริสัน ยังมีบริการให้กับลูกค้าคนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ สรุปง่ายๆ ว่า ฮาริสัน เรามีธุรกิจเติบโตจากปีที่แล้วไม่ต่ำกว่า 30%
ทั้งนี้ การขยายตลาดไปในต่างประเทศไม่ได้หมายความว่าตลาดของไทยไม่ดี แต่เป็นแผนการขยายตามแผนนโยบายของบริษัท สู่ International ทำให้ตลาดในประเทศไทยมี Demand มาก มีการลงทุนกับลูกค้าในประเทศไทยและลูกค้าต่างประเทศ เป็นรูปแบบการลงทุนที่มีวิธีการและผู้ลงทุนหลากหลาย โดยบริษัทฯ จะใช้ประสบการณ์กว่า 20 ปี เป็นตัวกลาง ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ
สรุปภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2015
1. แนวราบ มีการเปิดตัวโครงการ จำนวน 4.7 หมื่นหน่วย เพิ่มขึ้นกว่า 4% จากปีก่อน 2014 โครงการแนวราบมากที่สุด 5 อันดับแรก (บางกรวย-บางไทร 6,300 หน่วย, สมุทรปราการ 5,300 หน่วย, พระโขนง-บางนา 4,900 หน่วย, ลำลูกกา-คลองหลวง 4,800 หน่วย, มีนบุรี-หนองจอก 4,400 หน่วย)
2. แนวสูง มีการเปิดตัวโครงการ จำนวน 6.5-6.7 หมื่นหน่วย ลดลงจากปี 2014 กว่า 10% จำนวนยูนิตที่เปิดตัวมากที่สุดคือ ราคา 2 ล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท และ 5 ล้านบาทขึ้นไปมีจำนวนไม่มาก ได้แก่ (นนทบุรี 10,000 หน่วย, สมุทรปราการ 8,000 หน่วย, ห้วยขวาง-จตุจักร 7,000 หน่วย, กรุงเทพ-ฝั่งธน 6,500 หน่วย, สุขุมวิทตอนต้อน 4,000 หน่วย)
ดังนั้น คาดการณ์การเปิดตัวหน่วยขายใหม่ทั้งปี 2559 น่าจะใกล้เคียงปี 2558 แบ่งเป็นแนวราบประมาณ 4.7 หมื่นหน่วย และคอนโดฯประมาณ 6.5 หมื่นหน่วย”
คาดการณ์ปี 2016
“ในปี 2016 ในฐานะของ Sole Agent คาดว่าตลาดจะทรงตัว และมีการเติบโตในบางบริเวณที่อยู่แนวรถไฟฟ้าสายที่เปิดเดินรถ คือ สายสีม่วง และทำเลที่เป็นย่านธุรกิจ เช่น สุขุมวิท สาทร สีลม ซึ่งที่ดินใน 3 ปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นไม่ 30-40% ทำให้คอนโดในทำเลแนวรถไฟฟ้าจะแพงมากอย่างต่อเนื่อง เพราะที่ดินสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งโดยรวมราคาตลาดคอนโดฯ 3 ปีที่ผ่านมา อันดับที่ 1 ราคาคอนโดเส้น ราชดำริ,สุขุมวิท,หลังสวน ราคาเฉลี่ยนประมาณ 250,000 บาทต่อตร.ม. ทำให้ราคาสูงกว่าปีก่อน 10%, อันดับที่ 2 ราคาคอนโดซอยอารีย์ พระราม3 ริมแม่น้ำ ราคาเฉลี่ยประมาณ 150,000-250,000 บาทต่อตร.ม. สูงกว่าปีก่อน 8%, อันดับที่ 3 ราคาคอนโดแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ (สีเขียว,สีน้ำเงิน และสีแดง ราคาสูงกว่าปีก่อนหน้าถึง 12% เนื่องจากราคาที่ดินสูงขึ้น เพราะติดรถไฟฟ้า ดังนั้นกล่าวได้ว่าราคาที่ดินถือเป็นปัจจัยสำคัญของคอนโดฯ
ตามการทำการตลาดจะมีการแข่งขันกันอย่างมาก และมีการนำแนวคิด และกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ เข้ามาใช้สื่อสารกับผู้บริโภค การใช้ช่องทางการตลาด online เริ่มมีบทบาทมากขึ้น ส่วนปัจจัยที่นักลงทุนจะตัดสินใจซื้อ และลงทุนคือ อสังหาริมทรัพย์ บริเวณรถไฟฟ้าเปิดเดินรถ และสายที่มีความคืบหน้าในการก่อสร้าง และมีกำหนดเปิดแน่นอน คือ สายสีน้ำเงิน”
ท้ายสุด ผู้บริหารฮาริสัน เผยว่า “ราคาที่ดินตามหลักของตลาดจะเพิ่มขึ้นทุกปี และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาประเมินทางราชการจะปรับขึ้นประมาณ 20% โดยเฉพาะใจกลางกรุงเทพมหานคร ถือได้ว่าที่ดินจะหายากขึ้น สำหรับที่ดินย่านที่มีเส้นทางรถไฟฟ้าผ่าน เช่น สายสีแดง สีม่วง เป็นต้น จึงทำให้ต้นทุนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ มีราคาที่เพิ่มขึ้น และอีก 1-2 ปีข้างหน้าราคาที่ดินก็จะยังคงไม่ลดลง บริษัทฯ จึงมั่นใจว่าตลาดอสังหาฯในไทย ลู่ทางสดใส และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นแน่นอน และในปีต่อจากนี้ไป นักลงทุนต่างชาติ จะเข้ามาเป็นสีสันและทำให้ราคาของสินทรัพย์ไทยพุ่งสูงขึ้นด้วย”